IDG ปิดเทรดวันแรก 3.78 บ. เหนือจอง 26% ลุยขยายบริการ “ดิจิทัลแพลตฟอร์ม” เต็มสูบ

IDG ปิดตลาดวันแรกที่ระดับ 3.78 บาท ปรับตัวเพิ่มขึ้น 26% จากราคาไอพีโอที่ระดับ 3 บาท มูลค่าการซื้อขายหนาแน่น 666.68 ล้านบาท พร้อมขยายบริการ “ดิจิทัลแพลตฟอร์ม” เต็มสูบ มั่นใจรายได้โต 2 เท่าตัว ภายใน 3 ปี


ผู้สื่อข่าวรายงานว่าวันนี้ (24 ต.ค.68) ราคาหุ้น บริษัท อินดิจี จำกัด (มหาชน) หรือ IDG ปิดตลาดวันแรกที่ระดับ 3.78 บาท บวก 0.78 บาท หรือ 26% จากราคาไอพีโอที่ 3 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 666.68 ล้านบาท

นายวิธาน ฉั่วเจริญศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร IDG เปิดเผยว่าบริษัทฯ มีประสบการณ์ในการให้คำปรึกษาและพัฒนาระบบโดยใช้เทคโนโลยีชั้นนำระดับโลกมามากกว่า 25 ปี โดยได้รับการแต่งตั้งให้เป็น Microsoft Gold Certified Partner ตั้งแต่ปี 2549 ซึ่งบริษัทฯ มีทีมงานที่เชี่ยวชาญเข้าใจผลิตภัณฑ์ของ Microsoft เป็นอย่างดี

อีกทั้ง สามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์ของบริษัทฯ ที่ตรงตามความต้องการทางธุรกิจ จึงได้รับการยอมรับจากลูกค้าองค์กรชั้นนำในประเทศ สำหรับเงินที่ได้จากการระดมทุนครั้งนี้ จะนำไปใช้วิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ ขยายสำนักงานและศูนย์บริการธุรกิจดิจิทัลและใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนของบริษัทฯ

สำหรับทิศทางธุรกิจในอนาคตยังคงมองภาพรวมในทิศทางเชิงบวกตลอดช่วงปีนี้ โดยตั้งเป้าหมายรายได้เติบโต 2 เท่าตัว ภายใน 3 ปี ส่วนปัจจัยสำคัญที่สนับสนุนการเติบโตของธุรกิจ คือ การที่บริษัทฯ ได้นำเทคโนโลยีใหม่ๆ หลายประเภทเข้ามาขยายตลาด พร้อมทั้งมีการสร้างความร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจรายใหม่ ๆ นอกจากนี้ ยังได้ขยายฐานไปสู่กลุ่มธุรกิจใหม่หลายกลุ่ม ซึ่งช่วยเพิ่มโอกาสในการสร้างรายได้จากช่องทางใหม่ๆ และเสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจโดยรวม

โดยปัจจุบันโครงสร้างรายได้ของบริษัทฯ กระจายตัวออกเป็น 5 กลุ่มธุรกิจหลัก ได้แก่ 1.) กลุ่มลูกค้าสถาบันการเงิน 2.) กลุ่มลูกค้าทางด้านอุตสาหกรรมสินค้าอุปโภคบริโภค 4.) กลุ่มธุรกิจด้านสุขภาพ (Healthcare) และ 5.) กลุ่มลูกค้าในภาคอุตสาหกรรม

นอกจากนี้ ช่องทางธุรกิจที่บริษัทฯ ได้ขยายเพิ่มเติมนั้น คือ การจัดอบรมและพัฒนาองค์ความรู้ด้านเทคโนโลยี โดยเฉพาะหลักสูตรที่เกี่ยวข้องกับ Microsoft Copilot ซึ่งเป็นเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ชั้นนำจากไมโครซอฟท์ ที่บริษัทฯ ได้นำมาใช้และต่อยอดเพื่อช่วยองค์กรขนาดใหญ่ในการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดังกล่าวให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด นอกจากนี้ ได้ขยายช่องทางทางธุรกิจด้านดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ โดยเพิ่มการจำหน่ายสินค้าและผลิตภัณฑ์ด้านดิจิทัลมากขึ้น เพื่อรองรับความต้องการของตลาดในยุคดิจิทัลที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง

ขณะที่ ปัจจุบันบริษัทฯ อยู่ระหว่างการดำเนินโครงการ Transformation Thailand เพื่อผลักดันให้ภาคธุรกิจไทยสามารถพัฒนาและเติบโตอย่างยั่งยืน ซึ่งอยู่ในช่วงเตรียมการประชาสัมพันธ์และขยายฐานลูกค้าเพิ่มเติม โดยองค์กรเริ่มเข้าร่วมแล้วราว 2-3 ราย ส่วนความคืบหน้าของโครงการนั้น บริษัทฯ อยู่ระหว่างการวางแผนร่วมกับกลุ่มพันธมิตรในการขับเคลื่อน

สำหรับโครงการ Transformation Thailand ซึ่งเป็นหนึ่งในโครงการสำคัญที่บริษัทมุ่งเน้นในการสร้างมูลค่าและคุณภาพให้กับลูกค้า ปกติแล้วในการวางแผนแต่ละลูกค้าที่เข้าร่วมโครงการจะอยู่ในระดับมูลค่า 5-10 ล้านบาทต่อราย

นายวิธาน ยังได้กล่าวถึงภาพรวมผลการดำเนินงานในช่วงปี 2568  ณ สิ้นสุดในไตรมาส 2/2568 บริษัทฯ มีงานในมือ (Backlog) มูลค่าประมาณกว่า 50 ล้านบาท โดยคาดการณ์ว่าจะสามารถรับรู้รายได้ส่วนใหญ่ได้ภายในปีนี้ ซึ่งบางส่วนจะทยอยรับรู้ในช่วงไตรมาส 3/2568 และต่อเนื่องถึงไตรมาส 4/2568 โดยปัจจุบันลูกค้าของบริษัทฯ ส่วนใหญ่กว่า 90% เป็นภาคเอกชน

“ขอขอบคุณนักลงทุนทุกท่านที่ให้ความสนใจและให้การตอบรับหุ้นของบริษัทเป็นอย่างดี วันนี้ถือเป็นวันสำคัญและเป็นฤกษ์ดีที่บริษัทได้เข้าจดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ (mai) อย่างเป็นทางการ บริษัทมีความมั่นใจว่าจะสามารถนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่พัฒนาโดยคนไทย ก้าวสู่ระดับสากลได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน” นายวิธาน กล่าวทิ้งท้าย

นายกิตติชัย นาคะประเสริฐ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโสฝ่ายวาณิชธนกิจ บริษัทหลักทรัพย์ ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน IDG กล่าวว่า แผนธุรกิจของ IDG นั้น มุมมองของที่ปรึกษาทางการเงิน โดยมองว่า IDG เป็นบริษัทฯที่มีจุแข็งหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นความร่วมมือในฐานะพันธมิตรทางธุรกิจกับบริษัทไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) มาอย่างยาวนานกว่า 18 ปี

รวมถึงความโดดเด่นด้านการวิจัยและพัฒนานวัตกรรม ตลอดจนการมีซอฟต์แวร์และผลิตภัณฑ์ที่พัฒนาโดยทีมงานของบริษัทเอง นอกจากนี้ แนวโน้มการเติบโตของอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศ (IT) ยังคงอยู่ในระดับสูง ซึ่งจะเป็นแรงสนับสนุนสำคัญต่อการขยายตัวของ IDG ตามแผนธุรกิจที่คุณวิธานได้วางไว้ โดยในช่วง 3 ปีข้างหน้า บริษัทตั้งเป้าหมายให้รายได้เติบโตเพิ่มขึ้นประมาณ 2 เท่าจากระดับปัจจุบัน นอกจากนี้ บริษัทฯตั้งเป้าจ่ายเงินปันผลไม่น้อยกว่า 40% ของกำไรสุทธิ

Back to top button