“ครป.” ยื่นร้องนายก ฟัน “นพ.สรณ” ขาดคุณสมบัตินั่งประธาน กสทช. ปมตำแหน่งทับซ้อน

“ครป.” ยื่นร้องนายกฯ อนุทิน เร่งจัดการ “นพ.สรณ บุญใบชัยพฤกษ์” ขาดคุณสมบัติ นั่งประธาน-กรรมการ กสทช. เหตุแจ้งข้อมูลเท็จ หลังนั่งควบแพทย์มหิดล-เอกชน ขัดรัฐธรรมนูญชัดเจน ยันเอกสารเพียบ หากนายกไม่ดำเนินการจ่อถูกร้องขัดจริยธรรมร้ายแรง


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้(28 ต.ค.68) คณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย(ครป.) โดยนายเมธา มาสขาว รักษาการเลขาธิการ ครป. ผู้ประสานงาน เครือข่ายประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจ ยื่นหนังสือ ร้องเรียนต่อ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ให้เร่งดําเนินการตามกฎหมาย กรณี ศาสตราจารย์คลินิก นพ.สรณ บุญใบชัยพฤกษ์ ประธาน กสทช. ขาดคุณสมบัติและมีลักษณะต้องห้ามในการดํารงตําแหน่ง ประธาน กสทช. ภายหลังคณะกรรมาธิการ กมธ. เทคโนโลยีสารสนเทศ การสื่อสาร และ โทรคมนาคม วุฒิสภา พบว่า ศาสตราจารย์คลินิก นพ.สรณ ขาดคุณสมบัติการตํารงตําแหน่ง ประธานกสทช. เนื่องจากเป็นพนักงานของมหาวิทยาลัยในช่วงที่ได้รับแต่งตั้งเป็นกรรมการ กสทช.

ดังนั้น ประธาน กสทช. จึงมีลักษณะเป็นผู้ที่ขาดคุณสมบัติและมีลักษณะต้องห้ามตามกฎหมาย ตาม พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกํากับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2553 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 7 ข. (12) มาตรา 8 และมาตรา 26 ประกอบกับ มาตรา 18 มาตรา 20 ซึ่งผลการพิจารณาของคณะกรรมาธิการฯ ดังกล่าว ได้ปรากฏอยู่ในบันทึกการประชุม คณะกมธ.การเทคโนโลยี สื่อสาร และการโทรคมนาคม วุฒิสภา ครั้งที่ 17/2567 ในวันอังคารที่ 28 พฤษภาคม 2567 ซึ่งเผยแพร่ต่อสาธารณะแล้ว แต่ที่ผ่านมาสํานักงาน กสทช. ไม่ได้ดําเนินการตามกฎหมายกับประเด็นการขาดคุณสมบัติดังกล่าว และปล่อยให้มีการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบต่อเนื่องมาโดยตลอด และมีข้ออ้างว่ารัฐบาลยังไม่ได้ดําเนินการอะไรด้วย

ทั้งนี้ ครป.และเครือข่ายภาคประชาชน เคยยื่นจดหมายถึงอดีตนายกรัฐมนตรี เพื่อให้ดําเนินการตามอํานาจหน้าที่ แต่กลับไม่มีการดําเนินการใดๆ ครป. จึงได้ร้องมายังนายอนุทิน เพื่อขอให้ดําเนินการตามกฎหมายต่อไป ตามที่มีข้อกล่าวหาและหลักฐานยืนยันปรากฏ ในสื่อสํานักข่าวอิศรา ลงข่าววันที่ 9 ตุลาคม 2568 สรุปว่า มีเอกสารพบว่า มีเอกสารปรากฏหนังสือ มหิดลแจ้งต่อปลัด อว. ว่า วันที่ 8 มกราคม 2565 ถึง 12 เมษายน 2565 นพ.สนณ มีสถานะเป็น “แพทย์ตอบแทนรายชั่วโมง” ซึ่งเป็นการประกอบวิชาชีพอิสระ(วิชาชีพเวชกรรม) “มิได้มีสถานะเป็นพนักงานมหาวิทยาลัยแต่อย่างใด”  ซึ่งในหนังสือรับรองตนเอง 8 มกราคม 2565 วันเดียวกัน ต้องยื่นวุฒิสภา และได้รับรองตนเองแล้วว่าได้ลาออกและเลิกประกอบอาชีพวิชาชีพดังกล่าวแล้ว  ม.มหิดลจึงเป็นผู้ยืนยันเองจากข่าวนี้ว่าหนังสือ รับรองดังกล่าวเป็นเท็จ ขัดมาตรา 8(3) ประกอบมาตรา 18 และมาตรา 20 โดยปริยาย เพราะ ข้อ ข.3. เท่ากับไม่ได้ลาออกวิชาชีพเวชกรรมจริง ฉะนั้น จึงพิสูจน์ได้ว่า นพ.สรณ ไม่ได้เลิกประกอบวิชาชีพเวชกรรมจริง จึงถือเป็นการ “แจ้งข้อมูลเท็จ” ต่อวุฒิสภา ส่งผลให้เป็นการกราบบังคมทูลเท็จไปด้วย

นอกจากนี้ ยังมีหลักฐานการแถลงข่าวของกรรมาธิการ และประกาศบนเว็บไซต์วุฒิสภา รวมถึงคลิปเสียงจาก การตรวจสอบว่ายังประกอบวิชาชีพเวชกรรมมาโดยตลอด และการกลับไปประกอบวิชาชีพเวชกรรมมีหลักฐาน เป็นภาพประกอบที่โรงพยาบาลพระราม 9 เมื่อวันที่ 22 มิถุนายน 2567 ในประเด็นนี้ก็ขาดมาตรา 8(3) ที่สําคัญเคยลาออกแล้วแต่กลับไปทําใหม่ จึงมิได้สนใจข้อกฎหมายแต่อย่างใด อย่างไรก็ตาม นพ.สรณ ยังได้ยื่นแจ้งเปิดเผยบัญชีทรัพย์สินเองต่อ ป.ป.ช. ประกอบว่ายังประกอบอาชีพอิสระ(แพทย์) ซึ่งก็คือวิชาชีพเวชกรรมอยู่ตั้งแต่ปี 2565 จนถึง ปี2568

ทั้งนี้ นพ.สรณ  เข้าข่ายขัดพระบรมราชโองการฯ เพราะถือเป็นการนําความกราบบังคมทูลประกอบ “เอกสารอันเป็นเท็จ” และที่สําคัญกลับเป็นที่ปรากฏว่าเพิ่งได้ลาออกจากโรงพยาบาลรามาธิบดีในวันเดียวกับที่ทรงมีพระบรมราชโปรดเกล้าฯ จึงส่อเจตนาชัดเจนในการกระทําขัดข้อกฎหมาย มาตรา 8  และมาตรา 182 ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย โดยเฉพาะ (3) อย่างชัดเจน

“นายกรัฐมนตรีจึงเป็นผู้รับผิดชอบโดยตรง โดยไม่อาจยกประโยชน์บุญคุณส่วนตัวในการรักษาพยาบาลบุคคลในครอบครัวต่างตอบแทนในการไม่ดําเนินการตามอํานาจหน้าที่แต่อย่างใด นอกจากนี้ ยังมาปรากฏการแต่งตั้งเลขานุการประธาน กสทช. เป็นที่ปรึกษาของนายกฯและรมว.มหาดไทย ซึ่งเป็นเลขานุการประธาน กสทช. และยังคงดํารงตําแหน่งอยู่ การใช้ที่ปรึกษาร่วมกัน นายกฯ จึงเป็นคู่ขัดแย้งมีส่วนได้ส่วนเสียอาจส่งผลต้องรับโทษร้ายแรง หากนายกไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย ต้องถูกดําเนินคดีด้านความผิดมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรงด้วย ”

นพ.สรณ ไม่เคยเป็นประธานและกรรมการ กสทช. ตั้งแต่แรก เพราะเข้าข่ายหลอกลวงคุณสมบัติ หากยังคงปล่อยให้ผู้ไม่มีอํานาจหน้าที่ ปฏิบัติหน้าที่ประธาน กสทช. สามารถปฏิบัติหน้าที่ต่อไป จะทําให้เกิดความเสียหายแก่ประเทศชาติอย่างใหญ่หลวง และถือเป็นการร่วมกันกระทําผิด ร่วมกันปกปิด และก้าวล่วงพระราชอํานาจ

ทั้งนี้ ขอให้แพทยสภาตรวจสอบจริยธรรมทางการแพทย์และเพิกถอนใบอนุญาตตลอดชีวิต เนื่องจาก ขาดคุณสมบัติ หรือมีลักษณะต้องห้ามแล้ว รวมถึงการที่ประธาน กสทช.แต่งตั้งให้ นายไตรรัตน์ วิริยะศิริกุล รองเลขาธิการ กสทช. ดํารงตําแหน่งรักษาการเลขาธิการ กสทช. เป็นระยะเวลากว่า 5ปี โดยไม่ได้ดําเนินการแต่งตั้งให้เป็นไปตามกฎหมายและมติของคณะกรรมการ กสทช.แต่อย่างใด และการประเมินให้นายไตรรัตน์ จาก “พนักงานตามสัญญาจ้าง” เป็น “พนักงานประจําของสํานักงาน กสทช.” นั้น ไม่ได้เป็นไปตามกฎหมายและการแต่งตั้งโดยชอบ โดยอ้างว่าเป็นอํานาจของประธาน กสทช.แต่เพียงผู้เดียว

ครป. เห็นว่า การดํารงตําแหน่งทั้งสองท่านเป็นโมฆะ จะต้องมีการดําเนินการสรรหาใหม่โดยเร็ว และขอเรียกร้องให้สํานักงานกสทช. และคณะกรรมการ กสทช.ทุกท่าน ระงับและเลื่อนการประมูลคลื่นความถี่โทรคมนาคมออกไปก่อน เพื่อแก้ไขปัญหาการผูกขาดคลื่นความถี่ของเอกชนเพื่อผลประโยชน์ของสาธารณะ และจัดการปัญหาคุณสมบัติประธาน และเลขาธิการ กสทช. ผู้จัดประมูล ให้แล้วเสร็จก่อนเพื่อชี้แจงต่อสาธารณะและประชาชน

ครป. จึงเห็นควรขอให้นายกรัฐมนตรีเร่งดำเนินการกฎหมายโดยเร็ว ตามข้อเท็จจริงข้างต้น เพื่อมิให้เกิดความเสียหายแก่ประเทศชาติและประชาชนต่อไป

Back to top button