“พิพัฒน์” ชูวิสัยทัศน์ผลักดันไทยสู่ Aviation Hub เชื่อมเดินทาง-ครัวการบินครบวงจร

นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ ชูกลยุทธ์ ยกระดับอำนวยความสะดวกผู้โดยสารและขนส่งสัมภาระ พร้อมเน้นสร้างการรับรู้บริการอาหารบนเครื่องตอบโจทย์หลากหลายชาติและศาสนา เสริมศักยภาพดันไทยสู่ Aviation Hub แข่งขันฮ่องกง-สิงคโปร์


นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมได้ร่วมแสดงวิสัยทัศน์ถึงทิศทางอุตสาหกรรมการบิน ภายในงาน Skyconomy : Thailand’s Runways to Aviation Hub ในวันที่ 28 ต.ค.68 โดยระบุว่า รัฐบาลมีระยะเวลาค่อนข้างจำกัดในการดำเนินนโยบายราว 4 เดือน ทั้งนี้ รัฐกำลังวางรากฐานเพื่อให้ภาคการบินผลักดันสู่ Aviation Hub ให้เป็นจริงนั้นกระทรวงคมนาคม ดำเนินการงานอยู่แล้วในปัจจุบัน มุ่งเน้นการพัฒนาต่อเนื่องเพื่อยกระดับประสบการณ์ของผู้เดินทางเมื่อมาถึงประเทศไทย โดยเฉพาะด้านการเดินทางเชื่อมต่อระหว่างสนามบิน อาทิ สนามบินสุวรรณภูมิ ดอนเมืองและอู่ตะเภา ซึ่งปัจจุบันมีการพูดถึงการพัฒนารถไฟเชื่อมสนามบิน

เป้าหมาย คือ การอำนวยความสะดวกให้ผู้โดยสารและเพิ่มโอกาสในการเดินทางอย่างราบรื่น รวมถึงปรับปรุงการขนส่งสัมภาระให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น สนามบินสุวรรณภูมิ ปัจจุบันมีบริษัทผู้ให้บริการด้านสัมภาระเพียง 2 ราย คือ การบินไทย และ บางกอกแอร์เวย์

นอกจากนี้ AOT กำลังพิจารณาจัดหาผู้ให้บริการสัมภาระรายที่ 3 เข้ามาเพิ่มเติม นั่นคือ บริษัท บริการภาคพื้น ท่าอากาศยานไทย จำกัด หรือ AOTGA เพื่ออำนวยความสะดวกให้มากขึ้น การมีผู้ให้บริการเพิ่มเติมจะช่วยเพิ่มความสะดวกสบายให้กับผู้โดยสารที่เดินทางเข้ามา หรือผ่านประเทศไทย โดยเฉพาะสนามบินหลัก เช่น สุวรรณภูมิ ดอนเมือง ภูเก็ต และเชียงใหม่ กระทรวงมุ่งเน้นให้มีสิ่งอำนวยความสะดวกที่มากขึ้นและมีประสิทธิภาพยิ่งกว่าปัจจุบัน

ส่วนประเด็นที่ 2 เนื่องจากประเทศไทยมีแผนงานที่จะก้าวสู่การเป็น Aviation Hub ในภูมิภาค แต่คู่แข่งเช่น ฮ่องกงและสิงคโปร์ ก็มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น การดำเนินงานเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ

นายพิพัฒน์ กล่าวว่า การที่ประเทศไทยจะก้าวขึ้นเป็นศูนย์กลางการบินและสามารถแข่งขันกับคู่แข่งในภูมิภาคได้นั้น ขึ้นอยู่กับการบริหารจัดการของผู้บริหารภาคการบิน ทั้งสายการบินและผู้บริหารสนามบินหลัก เช่น การท่าอากาศยานไทย (AOT) โดยมีหลายประเด็นสำคัญ ได้แก่

1.) การขยายเส้นทางบินและฝูงบิน เพื่อรองรับเส้นทางบินที่ขยายตัว 2.) การดึงสายการบินเข้ามาในสนามบินรอง เช่น สนามบินเชียงใหม่ สนามบินกระบี่ ซึ่งยังไม่เต็มกำลังการรองรับ สามารถรองรับเครื่องบินขนาดใหญ่

3.) คุณภาพบริการและอาหารบนเครื่องบิน สิ่งสำคัญคือการสร้างความประทับใจให้ผู้โดยสาร ตั้งแต่การให้บริการบนเครื่องบิน การเสิร์ฟอาหารสดใหม่และตรงตามรสนิยมของแต่ละชาติและศาสนา เช่น อาหารฮาลาล

ขณะที่ ปัจจุบันประเทศไทยมีนักท่องเที่ยวจากหลายประเทศเข้ามาเป็นจำนวนมาก ซึ่งถือเป็นโอกาสสำคัญในการพัฒนาประเทศให้เป็นศูนย์กลางการบินในภูมิภาค อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังต้องแข่งขันกับประเทศอื่น ๆ เช่น ยูเออี ในเรื่องการเป็นจุดต่อเครื่องบิน (transit hub) สำหรับผู้โดยสารที่เดินทางไปยังจีน สิงคโปร์

“สิ่งสำคัญคือการพิจารณาในรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ และผสานกลยุทธ์การตลาดและประชาสัมพันธ์ เข้าไปในทุกกิจกรรม เพื่อสร้างความรับรู้และความประทับใจแก่สายการบินและผู้โดยสาร การลงทุนในงบโฆษณาและประชาสัมพันธ์ถือเป็นสิ่งจำเป็น” นายพิพัฒน์ กล่าว

ทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นอยู่กับกลยุทธ์การตลาด การทำโฆษณาและประชาสัมพันธ์เป็นสิ่งสำคัญ เพราะแม้สินค้าหรือบริการจะดี แต่ถ้าไม่มีการสื่อสารและประชาสัมพันธ์ ก็อาจไม่มีใครรับรู้ ดังนั้น หากประเทศไทยต้องการเป็น Aviation Hub ที่สามารถดึงสายการบินให้บินมาสู่ไทยแทนที่จะไปต่อเครื่องที่สิงคโปร์หรือฮ่องกง จำเป็นต้องลงทุนอย่างชาญฉลาด ใช้ทรัพยากรทุกด้านอย่างคุ้มค่า โดยอาศัยข้อได้เปรียบด้านภูมิศาสตร์ของไทยและความสามารถของคนไทย

นอกจากนี้ ปัจจุบันสนามบินสุวรรณภูมิยังมีพื้นที่เหลือเพียงพอสำหรับการพัฒนาโรงซ่อมขนาดใหญ่ ขณะที่ในอดีตเคยมีแผนลงทุนสร้างศูนย์ซ่อมอากาศยานที่อู่ตะเภา แต่ยังไม่เกิดขึ้นจริง รัฐบาลจึงมองโอกาสนี้ในการผลักดันให้เกิดการลงทุน เพื่อไม่ให้สายการบินที่ประสบปัญหาทางเทคนิคต้องบินไปซ่อมที่สิงคโปร์ ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการเป็น Aviation Hub ที่สมบูรณ์

นายพิพัฒน์ กล่าวทิ้งท้ายว่า ประเทศไทยมีความได้เปรียบเชิงภูมิศาสตร์ในระดับภูมิภาคและระดับโลก เพราะตั้งอยู่ในจุดศูนย์กลางระหว่างมหาสมุทรอินเดียและมหาสมุทรแปซิฟิก

นอกจากนี้ ยังถือเป็นศูนย์กลางของภูมิภาคอาเซียน และเป็นประตูสู่อินโดจีนที่เชื่อมโยงการเดินทางไปยังประเทศเพื่อนบ้าน เช่น ลาว กัมพูชา พม่า และเวียดนาม โดยเส้นทางหลักส่วนใหญ่ต้องผ่านกรุงเทพมหานคร ซึ่งถือเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญ ควรใช้จุดแข็งนี้ในการพัฒนาศักยภาพด้านการบิน เพื่อก้าวสู่การเป็น “Aviation Hub” อย่างแท้จริงในอนาคต

ขณะที่ นายพิเชษฐ สิทธิอำนวย กรรมการผู้อำนวยการ บล.บัวหลวง กล่าวถึงการจัดงาน Skyconomy : Thailand’s Runways to Aviation Hub ระบุว่า การจัดสัมมนาครั้งนี้ เป็นเวทีสำคัญที่จะสะท้อนภาพการยกระดับประเทศไทยสู่การเป็นศูนย์กลางการบินของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ทั้งนี้ การที่ประเทศไทยจะก้าวขึ้นมาเป็นศูนย์กลางด้านการบินได้นั้น จำเป็นต้องเกิดจากความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และการลงทุนที่สอดประสานกัน เพื่อขับเคลื่อนให้เกิด “เศรษฐกิจการบิน” อย่างเป็นรูปธรรม

สำหรับงานในวันนี้ ถือเป็นโอกาสอันดีที่ได้รับการสนับสนุนในระดับนโยบาย โดยได้รับเกียรติจาก นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม มาร่วมบรรยายพิเศษถึงวิสัยทัศน์และแนวนโยบายของภาครัฐในการผลักดันประเทศไทยสู่ศูนย์กลางการบินของภูมิภาค

นอกจากนี้ ยังได้รับเกียรติจาก พลอากาศเอก มนัท ชวนะประยูร ผู้อำนวยการสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย มาร่วมบรรยายถึงแนวทางการกำกับดูแลและการกำหนดมาตรฐานอุตสาหกรรมการบินให้สอดคล้องกับการพัฒนาในอนาคต ขณะที่ ภาคเอกชนก็มีส่วนร่วมสำคัญในเวทีนี้ โดยมีผู้บริหารระดับสูงเข้าร่วม อาทิ นายชาย เอี่ยมศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) หรือ THAI, นางสาวปวีณา จริยฐิติพงศ์ ผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT, นายสิริวัฒน์ โตวชิรกุล ผู้จัดการใหญ่ บริษัท บริการภาคพื้น ท่าอากาศยานไทย จำกัด และ นายสิทธิเดช มัยลาภ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สกาย ไอซีที จำกัด (มหาชน)  หรือ SKY

“หวังว่างานสัมมนาในครั้งนี้จะเป็นโอกาสสำคัญในการเปิดมุมมองใหม่ๆ ให้กับผู้เข้าร่วม ทั้งในห้องสัมมนาและผู้ที่ติดตามผ่านระบบออนไลน์ เพื่อร่วมกันผลักดันให้ประเทศไทยก้าวสู่ศักยภาพใหม่ของการเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมการบินในภูมิภาคต่อไป” นายพิเชษฐ กล่าวทิ้งท้าย

Back to top button