
“สหภาพบินไทย” ยันตั้งตาม “กม.แรงงาน” ย้ำปมออมสินเป็นการริบเงิน “พนักงาน” ไม่ใช่บริษัท
“สหภาพแรงงานการบินไทย” ชี้แจง 4 ประเด็น หลังถูกวิจารณ์เรื่องหนังสือถึงบอร์ดฯ ย้ำตั้งถูกต้องตามกฎหมายแรงงาน พร้อมโต้กรณีออมสินหักกลบลบหนี้ว่าเงินกว่า 2,000 ล้านบาท เป็นเงินกองทุนบำเหน็จของพนักงาน ไม่ใช่ทรัพย์สินของบริษัทจึงเป็นการริบเงินของพนักงาน รวมถึงกล่าวหาเรื่องการจัดหาเครื่องบิน A320 ว่าเป็นการทดแทน และจุดเริ่มต้นการขาดทุนของไทยสมายล์ เกิดหลังปี 55
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สหภาพแรงงานการบินไทย (สร.กบท.) ได้ออกแถลงการณ์ชี้แจง เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2568 ต่อกรณีที่ผู้ดำเนินรายการสถานีโทรทัศน์ข่าวหุ้นทีวี ได้แสดงความเห็นต่อหนังสือของสหภาพแรงงานการบินไทย ถึงประธานกรรมการบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) หรือ THAI กรณีการสรรหาและแต่งตั้งกรรมการบริษัทการบินไทยฯ นั้น สหภาพแรงงานฯ ขอชี้แจงเพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องดังต่อไปนี้
ประเด็นที่ 1 : สถานะของสหภาพแรงงานการบินไทย
ในอดีต สหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจการบินไทยจดทะเบียนภายใต้พระราชบัญญัติแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. 2543 เมื่อบริษัทการบินไทยพ้นสภาพรัฐวิสาหกิจ สหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจการบินไทยจึงหมดสภาพไปโดยอัตโนมัติตามกฎหมาย
ปัจจุบัน เมื่อบริษัทการบินไทยเปลี่ยนสถานะเป็นบริษัทเอกชนในตลาดหลักทรัพย์ สหภาพแรงงานการบินไทยได้จดทะเบียนจัดตั้งใหม่ตามพระราชบัญญัติแรงงาน พ.ศ. 2518
ประเด็นที่ 2 : การหักกลบลบหนี้กองทุนบำเหน็จพนักงานโดยธนาคารออมสิน
เมื่อบริษัทฯ เข้าสู่แผนฟื้นฟูกิจการต่อศาลล้มละลายกลาง ตามกฎหมาย เจ้าหนี้มีสิทธิ์ที่จะหักกลบลบหนี้ได้ กล่าวคือ หากลูกหนี้มีเงินฝากในธนาคารใด และธนาคารนั้นเป็นเจ้าหนี้ ธนาคารสามารถหักกลบลบหนี้ได้ ซึ่งหากทุกธนาคารดำเนินการเช่นนี้ การบินไทยก็จะเข้าสู่ภาวะล้มละลายทันที
กรรมการบริษัทฯ หลายท่านจึงได้ขอร้องธนาคารที่มีความคุ้นเคย ให้หลีกเลี่ยงการหักกลบลบหนี้ แต่ในกรณีของธนาคารออมสิน แม้นายวัชรา ฯ จะไม่ได้เป็นกรรมการธนาคารออมสินในขณะนั้น แต่ในฐานะอดีตประธานธนาคารออมสิน ย่อมมีความคุ้นเคยกับธนาคารออมสินเป็นอย่างดี
ในฐานะกรรมการบริษัทการบินไทยฯ ย่อมต้องรู้ถึงสถานการณ์ของบริษัทฯ ว่ายากลำบากเพียงใด และสุ่มเสี่ยงต่อการเข้าสู่สภาวะล้มละลาย จึงควรช่วยเจรจาเพื่อคลี่คลายปัญหาของบริษัทฯ ไม่ใช่เพื่อประโยชน์ส่วนตน
สาระสำคัญที่ต้องทำความเข้าใจ คือ เงินฝากที่ธนาคารออมสินนำไปหักกลบลบหนี้นั้น ไม่ใช่เงินฝากของการบินไทย แต่เป็นเงินฝากของ กองทุนบำเหน็จพนักงาน หากเป็นเงินฝากของการบินไทยจริง ก็จะไม่มีการฟ้องร้องต่อศาล เพราะเป็นสิทธิ์ของธนาคารที่จะหักกลบลบหนี้ได้ แต่กรณีนี้ต้องเป็นคดีขึ้นสู่ศาล เพราะเงินกว่า 2,000 ล้านบาทนั้นเป็นเงินของกองทุนบำเหน็จพนักงาน ไม่ใช่เงินของการบินไทย
เมื่อคดีสิ้นสุด ศาลฎีกาพิพากษาให้ธนาคารออมสินคืนเงินจำนวนกว่า 2,000 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ย 5% ต่อปี ให้แก่บริษัทการบินไทยเพื่อนำไปจ่ายให้แก่พนักงานลูกจ้าง
จึงควรพิจารณาด้วยสามัญสำนึกว่า หากนายวัชรา ฯ ในฐานะกรรมการบริษัทฯ ใช้ความสัมพันธ์อันดีกับธนาคารออมสินเจรจายุติปัญหาเสียแต่แรก ปัญหาคงไม่บานปลาย ธนาคารออมสินก็จะไม่ต้องจ่ายดอกเบี้ย 5% ต่อปีตามคำพิพากษา และพนักงานลูกจ้างก็จะไม่เดือดร้อนจากการพ้นสภาพพนักงานโดยไม่ได้รับเงินบำเหน็จ
ดังนั้น กรณีนี้จึง ไม่ใช่เรื่องธรรมาภิบาล แต่เป็นเรื่องของ สามัญสำนึกและความรับผิดชอบของผู้มีอำนาจ
ประเด็นที่ 3 : การจัดหาเครื่องบิน A320 ซึ่งไม่มี Crew Rest
กรณีการจัดหาเครื่องบิน A320 ซึ่งไม่มี Crew Rest ทำให้ต้องบินเฉพาะในประเทศและระยะใกล้ อันเป็นสาเหตุสำคัญของการขาดทุนของไทยสมายล์ในช่วงเวลาที่นายปิยสวัสดิ์ฯ เป็น DD การบินไทยนั้น
ในช่วงเวลาดังกล่าว บริษัทฯ ได้จัดหาเครื่องบินทั้งลำตัวกว้างและลำตัวแคบ โดยเครื่องบินลำตัวแคบคือ A320 จัดหามาเพื่อทดแทน B737 ที่ใช้บินภายในประเทศและเส้นทางระยะสั้น รวมทั้ง A300-600 ที่เก่ามากและต้องปลดออกจากฝูงบิน สมรรถนะของเครื่องบิน A320 ไม่สามารถบินไกลได้ จึงไม่จำเป็นต้องมี Crew Rest ตามที่มีการกล่าวอ้างโดยขาดข้อมูลที่ถูกต้อง และเครื่องบิน A320 ของทุกสายการบินทั่วโลกก็ไม่มี Crew Rest เช่นกัน
ประเด็นที่ 4 : จุดเริ่มต้นการขาดทุนของไทยสมายล์
จากนโยบายเปิดน่านฟ้าเสรีของรัฐบาล ทำให้สายการบิน Low Cost ต่างชาติหลายแห่งเข้ามาใช้ประเทศไทยเป็นฐานการบิน ในช่วงเวลาที่นายปิยสวัสดิ์ ฯ เป็น DD ได้เสนอแผนจัดตั้งสายการบินต้นทุนต่ำเพื่อแย่งส่วนแบ่งตลาด แต่ได้กำหนดชัดเจนว่าให้ “ไทยสมายล์” เป็นหน่วยธุรกิจหนึ่งของการบินไทย โดยให้การตลาด การซ่อมบำรุง และการบริหารจัดการต่าง ๆ อยู่ภายใต้การบินไทยทั้งหมด เพื่อให้เกิดการเชื่อมโยงทางธุรกิจและควบคุมต้นทุนได้ เงื่อนไขการจ้างงานก็ต้องแตกต่างจากการบินไทย
โดยปัญหาการขาดทุนของไทยสมายล์เริ่มต้นขึ้นหลังจากนายปิยสวัสดิ์ฯ พ้นจากตำแหน่ง DD ในเดือนพฤษภาคม 2555 เมื่อคณะกรรมการบริษัทฯ ในเวลานั้นเปลี่ยนนโยบาย ให้ไทยสมายล์แยกเป็นอิสระออกจากการบินไทย ทำให้ต้นทุนสูงขึ้น ขาดการเชื่อมโยงและการประสานงาน โดยเฉพาะด้านการตลาด
เมื่อ นางชาริตาฯ ดำรงตำแหน่ง CEO ของไทยสมายล์ ปัญหาความขัดแย้งยิ่งรุนแรงขึ้น และในปี 2562 ก่อนการเกิดโควิด เป็นปีที่ไทยสมายล์ขาดทุนสูงที่สุดภายใต้การบริหารของนางชาริตา ฯ
บริษัทฯ จะกลับมารุ่งเรืองหรือซ้ำรอยตกต่ำเช่นในอดีต อยู่ที่คณะกรรมการบริษัทฯ เป็นผู้กำหนดนโยบาย ดังนั้น บุคคลที่จะเข้ามาเป็นกรรมการบริษัทฯ ต้องได้รับการสรรหาแต่งตั้งด้วยความรู้ ความสามารถที่เป็นที่ประจักษ์ ปลอดจากระบบอุปถัมภ์ และไม่ใช่การตอบแทนจากผู้มีอำนาจทางการเมือง
สหภาพแรงงานฯ คือองค์กรแรงงานของลูกจ้าง เมื่อบริษัทขาดทุนหรือเฉียดล้มละลาย พนักงานลูกจ้างคือกลุ่มที่ได้รับผลกระทบโดยตรง ดังที่เคยเกิดขึ้นแล้วในอดีต ซึ่งมีพนักงานต้องตกงานกว่าหมื่นคน เหตุการณ์นั้นควรเป็นบทเรียนสำคัญให้พนักงานทุกคนรับรู้ข้อเท็จจริง สนใจ และช่วยกันดูแล ป้องกันไม่ให้สถานการณ์เลวร้ายเช่นนั้นเกิดขึ้นอีก