
“ค้าปลีก” คึกคักปลายปี “คนละครึ่งพลัส” กระตุ้นแรงซื้อ โบรกชู BJC-CPALL-CPAXT
กลุ่มค้าปลีกไทยส่งสัญญาณฟื้นตัวตามกำลังซื้อที่กลับมาคึกคัก รับอานิสงส์มาตรการ “คนละครึ่งพลัส” หนุนการจับจ่ายปลายปี โบรกประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจฟื้นต่อเนื่อง พร้อมชู BJC-CPALL-CPAXT หุ้นเด่นรับกระแสบริโภคกระตุ้นเศรษฐกิจ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กลุ่มค้าปลีกในประเทศเริ่มส่งสัญญาณฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องในช่วงปลายปี 2568 สะท้อนจากพฤติกรรมผู้บริโภคที่กลับมาใช้จ่ายมากขึ้นตามภาวะเศรษฐกิจที่ทยอยฟื้นตัว โดยได้รับแรงหนุนจากสภาพอากาศที่เอื้อต่อการจับจ่าย การเข้าสู่ฤดูกาลท่องเที่ยว และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภาครัฐที่ช่วยเพิ่มกำลังซื้อในตลาดภายในประเทศ
แม้ว่าบางกลุ่มสินค้า เช่น วัสดุก่อสร้างและสินค้าตกแต่งบ้าน จะยังเผชิญแรงกดดันจากความต้องการที่อ่อนแอ แต่ภาพรวมของภาคค้าปลีกเริ่มปรากฏทิศทางเชิงบวก โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าจำเป็น อาหาร และร้านสะดวกซื้อ ซึ่งคาดว่าจะได้รับอานิสงส์ต่อเนื่องจากการบริโภคในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2568 ซึ่งเป็นไฮซีซั่นของการจับจ่ายใช้สอยและการท่องเที่ยวในประเทศ
โครงการ “คนละครึ่งพลัส” ยังคงเป็นเครื่องมือสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจช่วงปลายปี โดยมียอดการใช้จ่ายสะสมทะลุ 20,000 ล้านบาท มีผู้ใช้สิทธิสำเร็จแล้วกว่า 19 ล้านราย ล่าสุดเปิดให้ใช้สิทธิสั่งอาหารผ่านแพลตฟอร์ม Food Delivery อย่างเป็นทางการตั้งแต่วันที่ 7 พฤศจิกายน 2568 ซึ่งช่วยขยายช่องทางการใช้จ่ายครอบคลุมร้านอาหารทั่วประเทศ
สำหรับยอดใช้สิทธิผ่าน Food Delivery ในวันแรก มียอดใช้จ่ายรวมกว่า 5.1 ล้านบาท จากผู้ใช้สิทธิ 37,678 คน และมีร้านค้าเข้าร่วมกว่า 70,000 ร้านค้าผ่านแพลตฟอร์ม LINE MAN, GrabFood, Robinhood และ ShopeeFood
ปลัดกระทรวงการคลังแสดงความพอใจต่อความราบรื่นในการใช้สิทธิผ่านแพลตฟอร์ม Food Delivery พร้อมยืนยันว่ากระทรวงกำลังเร่งสรุปรายละเอียดโครงการ “คนละครึ่งพลัส ระยะที่ 2” เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีภายในเดือนธันวาคม 2568 โดยมีเป้าหมายรักษาบรรยากาศการจับจ่ายให้คึกคักต่อเนื่อง และสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจฐานรากอย่างยั่งยืน
ขณะที่ฝ่ายนักวิเคราะห์จาก บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด ระบุว่า ภาพรวมกลุ่มค้าปลีกในช่วงปลายปี 2568 มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น โดยแม้ยอดขายจากสาขาเดิม (SSSG) รายเดือนของภาคค้าปลีกจะยังคงอ่อนแอและมีผลการดำเนินงานใกล้เคียงกับเดือนก่อนหน้า แต่คาดว่าอัตราการเติบโตของยอดขาย (SSSG) ในเดือนตุลาคมจะลดลงเพียง 0.8% ซึ่งแม้จะมากกว่าการลดลง 0.6% ในเดือนกันยายนเล็กน้อย แต่ยังอยู่ในระดับที่ทรงตัว
ในบรรดาผู้ประกอบการค้าปลีกทั้งหมด บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BJC มีแนวโน้มรายงานผลประกอบการที่ปรับตัวดีขึ้นมากที่สุด เนื่องจากฐานเปรียบเทียบของ SSSG ในเดือนกันยายนอยู่ในระดับต่ำจากการไม่มีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงเวลาดังกล่าว
ส่วนผลประกอบการของ บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ CPALL และ บริษัท ซีพี แอ็กซ์ตร้า จำกัด (มหาชน) หรือ CPAXT ที่อ่อนตัวลงเพียงเล็กน้อยนั้น คาดว่าเป็นผลจากปริมาณน้ำฝนที่เพิ่มขึ้น ซึ่งส่งผลกระทบต่อการเดินทางและการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภค อย่างไรก็ตาม ในภาพรวมเดือนพฤศจิกายนและการเริ่มต้นของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐ คาดว่าจะช่วยหนุนแนวโน้มของกลุ่มค้าปลีกให้กลับมาฟื้นตัวได้อย่างมีนัยสำคัญ
บล.ทิสโก้ยังคงให้น้ำหนัก “มากกว่าตลาด” (Overweight) สำหรับกลุ่มค้าปลีก เมื่อเทียบกับกลุ่มวัสดุก่อสร้างและตกแต่งบ้าน เนื่องจากมองว่าทั้งสองกลุ่มจะได้รับอานิสงส์จากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 ที่ได้รับแรงหนุนจากมาตรการกระตุ้นของรัฐบาล การฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว และความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ปรับตัวดีขึ้น
โดยคาดว่าผู้ประกอบการค้าปลีกจะยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคและอาหารพร้อมรับประทาน แม้จะมีฐานรายได้ที่สูงขึ้น บล.ทิสโก้ แนะนำ “ซื้อ” CPALL ราคาเหมาะสม 73.00 บาท เนื่องจากมองว่าอัตราการเติบโตของยอดขายจากสาขาเดิม (SSSG) ยังคงแข็งแกร่ง และมีแนวโน้มอัตรากำไรขั้นต้นขยายตัวต่อเนื่อง
ขณะเดียวกัน สำหรับกลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจปรับปรุงบ้าน แม้จะยังเผชิญความท้าทายด้านอุปสงค์ในปัจจุบัน แต่ผู้ประกอบการยังคงเดินหน้าเปิดสาขาใหม่เพื่อรักษาความเป็นผู้นำในตลาดในระยะยาว แม้กลยุทธ์ดังกล่าวอาจกดดันผลกำไรในระยะสั้นก็ตาม โดยทิสโก้ยังคงแนะนำ “ซื้อ” บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ CRC ราคาเหมาะสม 40.00 บาท และ “ซื้อ” บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ HMPRO ราคาเหมาะสม 11.00 บาท มองว่าเป็นหุ้นเด่นในกลุ่มที่ได้รับอานิสงส์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและการบริโภคภายในประเทศ

