MASTEC เปิดกำไร 9 เดือนแตะ 18 ลบ. แย้มโค้งสุดท้ายลุ้นรายได้แบ็กล็อก 370 ล้านบาท 

MASTEC รายงานผลประกอบการงวด 9 เดือนปี 2568 โดยมีกำไรสุทธิ 18.27 ล้านบาท และมีรายได้รวม 633.07 ล้านบาท ขณะที่บริษัทคาดว่าจะรับรู้รายได้จากงานในมือ (Backlog) มูลค่า 370 ล้านบาทในช่วงไตรมาส 4 ของปีนี้


นายดุษฎี มีชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แมสเทค ลิ้งค์ จำกัด (มหาชน) หรือ MASTEC ผู้นำเข้าและจัดหาผลิตภัณฑ์ด้านวิศวกรรมเพื่อนำมาจำหน่าย แบ่งออกได้เป็น 3 กลุ่มผลิตภัณฑ์ ประกอบด้วย 1.) กลุ่มผลิตภัณฑ์ระบบปรับอากาศและสุขาภิบาล  2.) กลุ่มผลิตภัณฑ์การป้องกันอัคคีภัยและผลิตภัณฑ์ด้านความปลอดภัย และ 3.) กลุ่มผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมเพื่อการอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อม ซึ่งดำเนินธุรกิจโดยมุ่งเป็นผู้นำเสนอโซลูชั่นเทคโนโลยีด้านวิศวกรรมของงานระบบอาคารที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมแบบครบวงจรให้แก่ลูกค้า

โดยมีทีมวิศวกรและทีมผู้เชี่ยวชาญดูแลตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ เปิดเผยถึงการบริหารจัดการอย่างรอบคอบ เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งในระยะยาว เตรียมพร้อมรองรับงานใหม่และรักษาฐานลูกค้าเดิมอย่างต่อเนื่อง ซึ่งปัจจุบันมีมูลค่างานในมือหรือแบ็กล็อกล่าสุด ณ สิ้นสุด 30 กันยายน 2568 มูลค่ากว่า 370 ล้านบาท โดยจะทยอยรับรู้รายได้ภายในไตรมาส 4 ปีนี้ราว 80% ส่วนที่เหลือทยอยรับรู้ต่อเนื่องถึงต้นปีหน้า

สำหรับรายงานผลประกอบการ 9 เดือนแรก ปี 2568 บริษัทฯ มีรายได้จากการขายและบริการรวม 633.07 ล้านบาท ลดลง 49.35 ล้านบาท หรือคิดเป็น 7.23% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนหน้า สาเหตุจากงานก่อสร้างอาคารและปรับปรุงพื้นที่ภายในอาคารหลายโครงการของลูกค้าล่าช้าจากแผนเดิมที่กำหนดไว้ เป็นไปตามลักษณะการดำเนินธุรกิจเพราะกลุ่มลูกค้าหลักของบริษัทฯ คือ ผู้รับเหมาและเจ้าของโครงการ

ทั้งนี้ บริษัทฯ จึงยังไม่สามารถทยอยส่งสินค้าไปยังโครงการที่สภาพหน้างานยังไม่พร้อมรับสินค้าหรือยังไม่พร้อมติดตั้งสินค้า ส่งผลให้การรับรู้รายได้โดยเฉพาะกลุ่มผลิตภัณฑ์การป้องกันอัคคีภัยและผลิตภัณฑ์ด้านความปลอดภัยลดลง ขณะที่บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 18.27 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 24.91 ล้านบาท สาเหตุหลักจากรายได้ที่ลดลงจากการส่งมอบสินค้าและบริการที่ล่าช้าออกไปและบันทึกรับรู้ค่าใช้จ่ายบริหารเพิ่มขึ้น ซึ่งส่วนใหญ่เป็นค่าใช้จ่ายเกิดขึ้นครั้งเดียวที่เกี่ยวข้องกับการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

อย่างไรก็ตาม อัตรากำไรขั้นต้น (Gross Margin) งวด 9 เดือน ปี 2568 เพิ่มขึ้นเป็น 28.61% จากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีอัตรากำไรขั้นต้น 27.81% สาเหตุจากการเติบโตของอัตรากำไรขั้นต้นเฉลี่ยในทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์ โดยเฉพาะการเพิ่มขึ้นของอัตรากำไรขั้นต้นกลุ่มผลิตภัณฑ์วาล์วในระบบปรับอากาศและสุขาภิบาลที่ขยายตลาดกลุ่มใหม่ได้ ควบคู่กับการเติบโตในกลุ่มผลิตภัณฑ์นวัตกรรมเพื่อการอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะระบบบำบัดและฆ่าเชื้อโรคในน้ำแบบไร้สารเคมี (Non-Chemical Water Treatment) ของระบบสระว่ายน้ำและหอผึ่งน้ำ ที่มีอัตรากำไรขั้นต้นสูงกว่ากลุ่มผลิตภัณฑ์อื่นเนื่องจากมี value-added สูง

ทั้งนี้ MASTEC ระดมทุน IPO และเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) เมื่อปลายเดือนตุลาคม 2568 โดยเงินที่ได้จากการระดมทุนเพื่อขยายธุรกิจที่มีความเชี่ยวชาญและประสบการณ์มากกว่า 25 ปี ให้ครอบคลุมในทุกด้าน อาทิ กลุ่มผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมเพื่อการอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อม เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์เพื่อการประหยัดพลังงานของระบบปรับอากาศ สำหรับดาต้าเซ็นเตอร์ โรงพยาบาล ห้างสรรพสินค้า อาคารผู้โดยสารสนามบิน รถไฟฟ้ามวลชน เพื่อช่วยลดการใช้พลังงาน ลดการใช้สารเคมี รวมถึงลดค่าใช้จ่ายการซ่อมบำรุงรักษาและยืดอายุการใช้งานให้ยาวนานขึ้น

รวมทั้งอุปกรณ์ประกอบระบบโซลาร์เซลล์เพื่อเป็นพลังงานทางเลือก ปลอดมลพิษต่อสิ่งแวดล้อมและประหยัดค่าไฟฟ้าสำหรับครัวเรือน อาคารพาณิชย์และโรงงานอุตสาหกรรม และอุปกรณ์ประกอบระบบชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า (EV Charger) ที่มีมาตรฐานสูงพร้อมระบบเว็บแอปพลิเคชันเพื่อการบริหารจัดการให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุดแบบเรียลไทม์

“MASTEC ยังคงมุ่งเน้นการขยายธุรกิจในทุกมิติ โดยเฉพาะโครงการเมกะเทรนด์อย่างดาต้าเซ็นเตอร์ นอกจากนี้ จุดแข็งความครบวงจร ทั้งด้านอุปกรณ์วิศวกรรมระบบปรับอากาศ และระบบป้องกันอัคคีภัย รวมทั้งนวัตกรรมอนุรักษ์พลังงาน เป็นกุญแจสำคัญซึ่งตอบโจทย์ลูกค้าตรงจุด รองรับได้หลากหลายอุตสาหกรรม แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการปรับตัวและบริหารจัดการอย่างยืดหยุ่น

แม้ภาวะเศรษฐกิจโดยรวมยังเผชิญความท้าทายทั้งจากการฟื้นตัวที่ล่าช้าของอุตสาหกรรมท่องเที่ยว มาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ การชะลอตัวในภาคอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งล้วนส่งผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมต่อภาวะเศรษฐกิจโดยรวมของไทย อย่างไรก็ตาม MASTEC คงเป้าหมายรายได้ 900-1,000 ล้านบาทสำหรับปี 2568 บริษัทฯจะพยายามรักษาอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ในระดับ 28%-30% พร้อมนโยบายการจ่ายปันผลไม่น้อยกว่า 40% ของกำไรสุทธิหลังตั้งสำรองตามกฎหมาย” นายดุษฎี กล่าว

Back to top button