
ปตท. ลั่นปี 69 เร่งปั้น PTT Tank หาเงินกู้ระยะยาว–ดึงพันธมิตร ดันกระแสเงินสดเพิ่ม 1 แสนล.
PTT มองปี 69 ยังเผชิญความท้าทาย เดินหน้าใช้ PTT Tank เป็นเครื่องมือหลัก จัดหาเงินกู้ระยะยาวและดึงพันธมิตรร่วมลงทุน ตั้งเป้ากระแสเงินสดเพิ่มอีก 1 แสนล้านบาท
ดร.คงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จํากัด (มหาชน) หรือ PTT เปิดเผยมุมมองต่อทิศทางธุรกิจพลังงานในปี 2569 ระบุว่าเป็นปีที่ยังต้องเผชิญความท้าทายต่อเนื่อง ภายใต้อุปสรรครอบด้านทั้งเศรษฐกิจโลกและภาวะตลาดพลังงาน คาดว่าราคาพลังงานและน้ำมันในปีหน้าไม่น่าจะปรับตัวขึ้นจากปี 2568
โดยมีปัจจัยสำคัญ ได้แก่ เศรษฐกิจโลกยังไม่ฟื้นตัวอย่างมีนัยสำคัญ อุปทานในตลาดยังล้นตัวจากกลุ่ม OPEC+ และผู้ผลิตอื่น และอุปสงค์น้ำมันจากฝั่งเศรษฐกิจตะวันตกยังอ่อนแรงตามภาวะการชะลอตัว ขณะที่มาร์จิ้นธุรกิจการกลั่นและปิโตรเคมีมีแนวโน้ม “ทรงตัว” เนื่องจากตลาดยังไม่มีสัญญาณฟื้นตัวชัดเจน
ด้านกลยุทธ์ภายในองค์กรจะเน้นยกระดับประสิทธิภาพของกระบวนการผลิต การสร้าง Synergy ระหว่างบริษัทในเครือ และการนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยเสริมศักยภาพ เพื่อรักษาระดับผลกำไรให้มั่นคงภายใต้สภาพแวดล้อมที่ท้าทาย
ในด้านภายนอก ปตท. จะยังคงเดินหน้าภารกิจหลักด้านความมั่นคงทางพลังงานของประเทศ และลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานพลังงานที่จำเป็นตามแผนระยะยาว
สำหรับแผนลงทุน ปตท. ย้ำว่าแผนการลงทุนในปี 2569 จะดำเนินด้วยความระมัดระวัง โดยให้ความสำคัญกับ 2 เป้าหมายหลัก ได้แก่ 1.ความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศ ผ่านการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานและโครงการด้านพลังงานที่จำเป็น 2.ความมั่นคงของผู้ถือหุ้น โดยพิจารณาผลตอบแทน ความเสี่ยง เงินปันผล อัตราผลตอบแทน (Yield) และระยะเวลาคืนทุนอย่างรอบคอบ โดยระบุว่าบริษัทจะบริหารพอร์ตการลงทุนให้มีความสมดุลมากที่สุด ท่ามกลางความผันผวนของเศรษฐกิจและตลาดพลังงานโลกในปี 2569.
จากประเด็นที่มีการชี้แจงก่อนหน้า โครงการ A1 Core ซึ่งเกี่ยวข้องกับการโอนทรัพย์สินประเภทถัง เก็บ ท่อ และท่าเรือ มีหลักการดำเนินงานคือ ปตท. ผ่าน บริษัท พีทีที แทงค์ เทอร์มินัล จำกัด หรือ PTT Tank จะเข้าซื้อหรือเช่าทรัพย์สินดังกล่าว แล้วนำกลับมาให้เช่าเพื่อบริหารต่อ โดยมีเป้าหมายเพื่อเสริมความแข็งแรงด้านกระแสเงินสดและสร้าง Synergy ภายในกลุ่ม ปตท. พร้อมเตรียมโครงสร้างสำหรับการร่วมทุนในอนาคต
ด้านความคืบหน้า ปัจจุบัน บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC ได้รับอนุมัติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นเป็นที่เรียบร้อย ส่วนบริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP เตรียมพิจารณาในเดือนธันวาคม และ บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) หรือ IRPC จะตามมาในลำดับถัดไป
ทั้งนี้ มีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างการถือหุ้นจากเดิมที่ ปตท. ถือ 100% มาเป็นโครงสร้างใหม่ที่มี SMH (บริษัทย่อยของ ปตท.) เข้ามาถือหุ้น 50% เพื่อเตรียมความพร้อมให้ PTT Tank มีสถานะเป็นบริษัทเอกชนสำหรับการเข้าซื้อสินทรัพย์
โดยมูลค่าทรัพย์สินรวมอยู่ที่ประมาณ 47,000 ล้านบาท แบ่งเป็นถัง ท่อ และท่าเรือ 38,000 ล้านบาท ส่วนที่เหลือเป็นการถือหุ้นในบริษัทที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจเทอร์มินัล ทั้งนี้ นักลงทุนต่างชาติและสถาบันการเงินแสดงความสนใจอย่างมาก โดยเบื้องต้นอยู่ระหว่างจัดหาแหล่งเงินกู้ระยะยาว 10–15 ปี เพื่อใช้เป็นโครงสร้างทางการเงินหลักก่อนเข้าสู่การเจรจากับพันธมิตรลงทุน ซึ่งคาดว่าจะช่วยเพิ่มโอกาสการเติบโตในอนาคต
สำหรับกลยุทธ์การจัดหาเงินทุน ดำเนินการเป็น 2 ขั้นตอน 1.จัดหาเงินกู้: PTT Tank กำลังอยู่ในขั้นตอนการจัดหาเงินกู้ระยะยาว (10-15 ปี) ในอัตราดอกเบี้ยที่ดี ซึ่งได้รับความสนใจจากธนาคารอย่างล้นหลาม
2.หาพันธมิตรร่วมลงทุน: หลังจากได้โครงสร้างเงินกู้ที่เหมาะสมแล้ว จะนำโครงสร้างนี้ไปเจรจากับพันธมิตรที่มีศักยภาพ (Potential Partner) เพื่อร่วมลงทุนและมองหาโอกาสการเติบโตในอนาคต
รวมถึงความสนใจจากนักลงทุน โครงการได้รับการตอบรับอย่างดีเยี่ยมและถูกมองว่า “เนื้อหอมมาก” มีกองทุน (Fund Manager) ไม่น้อยกว่า 10 รายที่แสดงความสนใจ
โดยประโยชน์ที่บริษัทในกลุ่มจะได้รับ ได้แก่ กระแสเงินสดที่มั่นคง การดำเนินงานของสินทรัพย์ยังคงปกติเช่นเดิม และการเกิด Synergy ระหว่างบริษัทในเครือ ขณะที่ ปตท. จะมีผลตอบแทนต่อส่วนผู้ถือหุ้นที่ดีขึ้นจากการใช้เงินกู้ต้นทุนต่ำ และยังเปิดโอกาสให้พันธมิตรร่วมทุนเข้ามาเสริมความแข็งแกร่งของโครงการในระยะยาว
นอกจากนี้ บริษัทตั้งเป้าที่จะสร้างกระแสเงินสดเพิ่มขึ้นอีก 100,000 ล้านบาทในปี 69 จากปัจจุบันมีเงินสดและเงินลงทุนระยะสั้นในระดับที่แข็งแกร่งเพื่อรองรับการลงทุนและสภาพคล่องในระยะยาว
สำหรับความคืบหน้าโครงการแปลงสินทรัพย์เป็นทุน (Asset Monetization) มีเป้าหมายเพื่อแปลงสินทรัพย์ให้เป็นทุน สร้างกำไร และเพิ่มกระแสเงินสดให้แก่บริษัท โดยสินทรัพย์เป้าหมายแบ่งออกเป็นสองกลุ่มหลัก
กลุ่มสินทรัพย์ในธุรกิจหลัก (Core Business): เช่น ถังเก็บผลิตภัณฑ์ ท่อส่ง และท่าเรือ
กลุ่มสินทรัพย์นอกธุรกิจไฮโดรคาร์บอน (Non-hydrocarbon): เช่น ธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้า (EV) และธุรกิจด้านวิทยาศาสตร์เพื่อชีวิต (Life Science)

