
PTT เด้ง 1% ลั่นปีหน้าฟื้นตัว “ธุรกิจปิโตร-โรงกลั่น” หนุน โบรกชี้กำไรทะลุ 9.4 หมื่นล้าน
PTT เด้ง 1% รับส่งสัญญาณปี 69 เติบโตต่อเนื่อง! ธุรกิจกลุ่มโรงกลั่นและปิโตรเคมีหนุน เร่งเดินหน้าดีลพันธมิตร คาดโกยเงินสดเกิน 1 แสนล้านบาทในปีหน้า โบรกฯ มองกำไรสุทธิปี 69 ทะลุ 94,753 ล้านบาท เป้าหมายเฉลี่ย 35.54 บาท พร้อมปันผลเด่น ยีลด์ 6.46-6.54%
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (20 พ.ย.68) ราคาหุ้น บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT ณ เวลา 10:15 น. อยู่ที่ระดับ 30.50 บาท บวก 0.25 บาท หรือ 0.83% สูงสุดที่ระดับ 30.50 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 30.25 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 18.50 ล้านบาท
นายคงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ PTT เปิดเผยว่า ทิศทางการดำเนินงานปี 2569 บริษัทมองเห็นโอกาสเติบโตในหลายมิติ แม้ว่าราคาน้ำมันอาจทรงตัวเมื่อเทียบกับปี 2568 เนื่องจากมีซัพพลายใหม่เข้าสู่ตลาดเพิ่มขึ้น แต่ภาพรวมยังคงมีปัจจัยสนับสนุนจากมาร์จิ้นของกลุ่มโรงกลั่นและปิโตรเคมีที่มีแนวโน้มดีขึ้นในบางผลิตภัณฑ์ ส่งผลให้บริษัทสามารถสร้างผลประกอบการแข็งแกร่งและยั่งยืนได้ในปีหน้า
ดังนั้น กลุ่มปตท.ยังเดินหน้าสร้างความแข็งแกร่งจากภายในอย่างต่อเนื่อง ผ่านโครงการสำคัญที่มุ่งยกระดับประสิทธิภาพการดำเนินงาน (EBITDA Uplift) และเสริมศักยภาพการแข่งขันให้เหนือกว่าระยะยาว โดยตั้งเป้าสร้างกระแสเงินสดเพิ่มอีก 100,000 ล้านบาทในปี 2569 สะท้อนถึงความมั่นใจในการบริหารจัดการและการเติบโตของธุรกิจ
ปัจจุบันกลุ่มปตท.ยังรักษาการดำเนินงานได้ตามแผนทุกมิติ โดยงวด 9 เดือนแรกปี 2568 ทำ EBITDA ได้สูงถึง 257,957 ล้านบาท พร้อมด้วยฐานะการเงินที่แข็งแกร่ง มีเงินสดและเงินลงทุนระยะสั้นรวม 413,718 ล้านบาท ถือเป็นพื้นฐานสำคัญต่อการขับเคลื่อนแผนงานเชิงรุกในอนาคต
ส่วนความคืบหน้าการดึงพันธมิตรมาร่วมทุนกลุ่มธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่น ครอบคลุมบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC, บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP และบริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) หรือ IRPC ขณะนี้มีความคืบหน้าอย่างต่อเนื่อง โดยอยู่ขั้นตอนการเจรจากับพันธมิตรที่ผ่านการคัดเลือกเบื้องต้น (Shortlist Partner) ซึ่งเป็นบริษัทขนาดใหญ่ที่มีศักยภาพสูง คาดว่าจะเห็นความชัดเจนมากขึ้น พร้อมตั้งเป้าปิดดีลให้เสร็จภายในปี 2569
สำหรับการเข้ามาของพันธมิตรร่วมทุนครั้งนี้ สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ของ ปตท.ที่ต้องการเสริมความแข็งแกร่งให้แก่เครือบริษัท เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน รองรับความเปลี่ยนแปลงในธุรกิจพลังงานและปิโตรเคมีในระยะยาว โดยยังคงยืนยันว่า ปตท. จะยังเป็นผู้ถือหุ้นหลักในบริษัท Flagships ทุกแห่งต่อไป
ขณะที่ผลประกอบการ 9 เดือนปี 2568 ปตท. และบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิ 64,632 ล้านบาท ลดลง 20% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากระดับราคาน้ำมันและส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ถูกกดดันจากสภาวะเศรษฐกิจโลก แต่ด้วยมาตรการเชิงรุก อาทิ EBITDA Uplift, Asset Monetization, การควบคุมค่าใช้จ่าย และการบริหารหนี้เงินกู้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้กลุ่มปตท.สามารถดำเนินงานได้ตามเป้าหมายทุกมิติ สร้าง Profit Enhancement รวมกว่า 15,000 ล้านบาท เปรียบเสมือนการผ่านบททดสอบท่ามกลางความท้าทาย ตอกย้ำการเดินกลยุทธ์ที่แม่นยำภายใต้การประเมินสถานการณ์ที่ละเอียด รอบคอบ และวิสัยทัศน์ที่ถูกทาง พร้อมดูแลผู้มีส่วนได้เสียอย่างสมดุล สร้างผลตอบแทนแก่ผู้ถือหุ้นสวนกระแสเศรษฐกิจที่ถดถอย สามารถจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล อัตรา 0.90 บาทต่อหุ้น
นายคงกระพัน กล่าวอีกว่า ภารกิจสำคัญของ ปตท.คือ การสร้างความมั่นคงทางพลังงานให้กับประเทศไทย นั่นหมายถึงการมีพลังงานที่เพียงพอ ภายใต้กลไกราคาที่เหมาะสมแข่งขันได้ และมีความยั่งยืนควบคู่ไปด้วย เพื่อให้สามารถบรรลุภารกิจเหล่านี้ ท่ามกลางสถานการณ์โลกที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน ปตท.จึงมุ่งเน้นในสิ่งที่มีความถนัด ภายใต้กลยุทธ์เร่งสร้างความแข็งแรง และเพิ่มศักยภาพการแข่งขันในธุรกิจ Hydrocarbon ควบคู่กับการลดก๊าซเรือนกระจก ปตท.สามารถผลักดันผลสำเร็จเพิ่มเติมตามแผน
โดยกลุ่มธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียม ขยายการสำรวจและผลิตในแหล่งใหม่ พร้อมลงทุนในโครงการต่าง ๆ ทั้งในและต่างประเทศเพิ่มเติม ได้แก่ โครงการพื้นที่พัฒนาร่วมไทย-มาเลเซีย เอ 18 ซึ่งเป็นแหล่งก๊าซธรรมชาติหลักที่ใช้ผลิตกระแสไฟฟ้าบริเวณภาคใต้ของไทย และร่วมลงทุนในโครงการแอลจีเรีย ทูอัท ในทวีปแอฟริกา อีกทั้งอยู่ระหว่างการพิจารณาตัดสินใจลงทุนขั้นสุดท้ายในโครงการแอลจีเรีย ฮาสสิ เบอร์ ราเคซ ระยะที่ 2
ขณะที่ธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ สามารถทำการค้าและการลงทุน LNG ใน 9 เดือนแรกปี 2568 ได้กว่า 2.2 ล้านตัน และอยู่ระหว่างลงนามสัญญา LNG ระยะยาว 1.6 ล้านตัน ตั้งเป้า 10 ล้านตันภายในปี 2573 เนื่องจากมองว่าเป็นโอกาสของธุรกิจเทรดดิ้งในช่วงที่ราคา LNG ไม่แพง ซึ่ง LNG ในส่วนนี้จะไม่เกี่ยวกับ LNG เพื่อความมั่นคงของประเทศ ที่มีสัญญาระยะยาว ปัจจุบันรวม 5.2 ล้านตัน
ด้านธุรกิจ Non-Hydrocarbon มีการลดบทบาทธุรกิจที่ไม่ใช่ธุรกิจหลัก โดยปรับพอร์ตการลงทุนในธุรกิจ EV Value Chain ลดสัดส่วนการถือหุ้นในบริษัท ฮอริษอน พลัส จำกัด (Horizon Plus) ขายหุ้นบริษัท Contemporary Amperex Technology Co., Ltd (CATL) รวมถึงจำหน่ายเงินลงทุนในบริษัท นีโอ โมบิลิตี้ เอเชีย จำกัด (NMA) ตามกลยุทธ์ Smart Exit ส่งผลให้มีเงินสดกลับคืน ปตท. ในส่วนของ Life Science บริษัท อินโนบิก (เอเซีย) จำกัด (INBA) ลดสัดส่วนการถือหุ้นในบริษัท Lotus Pharmaceutical Company Limited (Lotus) เพื่อสนับสนุนให้ Lotus มีความคล่องตัวในการขยายตลาดยาในสหรัฐอเมริกา ผ่านการลงทุนในบริษัท New Alvogen Group Holdings Inc. (Alvogen US) ซึ่งเป็นไปตามกลยุทธ์การเติบโตแบบพึ่งพาตนเอง (Self – Funding)
นอกจากนี้ ด้านการขับเคลื่อนความยั่งยืน ปตท.ยังคงมุ่งมั่นในการบรรลุเป้าหมาย Net Zero ภายในปี 2050 และจะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้ได้ 15% ในปี 2035 โดยดำเนินการอย่างสมดุลในทุกมิติ ทั้ง เศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม โดยหารือร่วมกับหน่วยงานภาครัฐ เพื่อกำหนดแนวทางส่งเสริมและผลักดันเทคโนโลยีดักจับและกักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์ (CCS) ให้เกิดการใช้งานจริงในไทย พร้อมทั้งศึกษาและนำเสนอความเป็นไปได้ของการใช้ Hydrogen และ Ammonia Co-firing เป็นพลังงานทางเลือกในประเทศ ทั้งนี้โครงการ CCS ที่แหล่งอาทิตย์ในอ่าวไทยจะเริ่มดักจับและกักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์ในปี 2571 โดยสามารถกักเก็บได้สูงสุดประมาณ 1 ล้านตันต่อปี โครงการดังกล่าวจะเป็นต้นแบบสำคัญสำหรับการพัฒนา CCS ในพื้นที่อื่น ๆ ของประเทศไทย รวมถึงการพัฒนา CCS Hub ในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกในอนาคต
บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) ระบุ PTT ประชุมนักวิเคราะห์เปิดเผยแนวโน้มผลการดำเนินงานปี 2569 ว่ามีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น โดยเฉพาะธุรกิจก๊าซ ซึ่งได้รับแรงหนุนจากต้นทุนก๊าซที่ลดลง แม้ปริมาณขายก๊าซทรงตัว
โดย PTT อยู่ระหว่างการเจรจากับพันธมิตรทางธุรกิจเชิงกลยุทธ์ (potential strategic partners) เพื่อเข้าร่วมลงทุนในธุรกิจปิโตรเคมีและโรงกลั่น (P&R) โดยบริษัทฯ ยังคงตั้งเป้าดำเนินการให้แล้วเสร็จในปี 2569 และยังคงเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่เหมือนเดิม
นอกจากนี้ กลุ่ม PTT ยังเดินหน้าโครงการปรับลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน คาดว่าจะสร้าง EBITDA ส่วนเพิ่มได้มากกว่า 1 หมื่นล้านบาทในปี 2568 และ 3 หมื่นล้านบาทในปี 2570
บริษัทฯ อยู่ระหว่างดำเนินการตามแผนการทำ asset monetization ครอบคลุมกลุ่มธุรกิจปิโตรเลียมและโรงกลั่น (P&R), รถไฟฟ้า (EV), ไฟฟ้า และสาธารณูปโภค คาดว่าจะได้รับเงินสดรวมกว่า 1 แสนล้านบาทช่วงปี 2568-2569
ด้านแนวทางการลงทุน นักวิเคราะห์ประเมินฐานะทางการเงินของ PTT แข็งแกร่ง พร้อมอัพไซด์ต่อประมาณการกำไรจากการปรับโครงสร้างธุรกิจ คาดว่าจะช่วยเพิ่มความสามารถในการจ่ายเงินปันผลอย่างต่อเนื่อง จึงยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” เป้าหมาย 37 บาท
บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด ระบุ จากบรรยากาศการประชุมนักวิเคราะห์วานนี้ (19 พ.ย. 2568) ของ PTT เปิดเผยถึงความคืบหน้าแผนการจัดหาพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ (Strategic Partners) เพื่อร่วมทุนในธุรกิจโรงกลั่นและปิโตรเคมี ปัจจุบันอยู่ระหว่างการหารือเชิงลึกและจัดทำแผนอย่างเป็นทางการ แม้ผู้บริหารยังไม่เปิดเผยชื่อพันธมิตร แต่ยืนยันเป้าหมายคือปิดดีลภายในปี 2569 ซึ่งจะเป็นอีกกลยุทธ์สำคัญในการเสริมความแข็งแกร่งของธุรกิจต่อเนื่องระยะยาว
นอกจากนี้ กลุ่ม PTT ยังคงเดินหน้าแผน Assets Monetization เพื่อนำรายได้ที่ได้มาชำระหนี้ ลดภาระดอกเบี้ย และเพิ่มเสถียรภาพงบการเงิน โดยในส่วนของ PTT เองยังมีสถานะที่มั่นคงมาก ปัจจุบันมี Net Debt/EBITDA เพียง 1.7 เท่า และถือเงินสดสูงกว่า 4 แสนล้านบาท โดยในระยะสั้นยังไม่มีแผนลงทุนขนาดใหญ่เพิ่มเติม
ด้านแนวโน้มอุตสาหกรรมปี 2569 ผู้บริหารมองว่ายังคงเป็นปีที่ท้าทาย เนื่องจากไม่เห็นปัจจัยบวกด้านเศรษฐกิจที่ชัดเจน ทั้งราคาน้ำมันและปิโตรเคมียังอยู่ในช่วงอ่อนตัว โดยธุรกิจปิโตรเคมียังคงถูกกดดันจากซัพพลายใหม่ที่ทยอยเข้ามา อย่างไรก็ดี PTT มองบวกต่อตลาด ค่าการกลั่นที่ยังอยู่ในระดับสูง และจะใช้ปริมาณขายที่เพิ่มขึ้นมาช่วยประคับประคองผลการดำเนินงาน
อย่างไรก็ตาม มองว่าจุดแข็งสำคัญของ PTT คือการมีธุรกิจที่กระจายตัว (Diversified Portfolio) ช่วยลดความผันผวนของกำไร เนื่องจากธุรกิจแข็งแรงบางส่วนสามารถชดเชยธุรกิจที่อ่อนตัวลงได้ แม้ภาพรวมอุตสาหกรรมยังไม่ฟื้นเต็มที่ อีกทั้งยังเป็นหุ้นปันผลเด่น โดยให้อัตราผลตอบแทนเฉลี่ยราว 6.9% ต่อปี ราคาเป้าหมาย 36 บาท
ขณะที่สมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน (IAA Consensus) ให้ราคาเป้าหมายเฉลี่ย (Consensus) ของ PTT ปี 2568 อยู่ที่ 35.54 บาท
นักวิเคราะห์จากหลายโบรกเกอร์ยังคงให้มุมมองเป็นบวกต่อหุ้น PTT โดยกำไรต่อหุ้น (EPS) เฉลี่ยปี 2568 อยู่ที่ 3.15 บาท และคาดว่าจะเพิ่มเป็น 3.32 บาทในปี 2569 ขณะที่กำไรสุทธิรวมเฉลี่ยอยู่ที่ 90,036 ล้านบาทในปี 2568 และเพิ่มเป็น 94,753 ล้านบาทในปี 2569
ส่วน ค่า P/E เฉลี่ยอยู่ที่ 9.75 เท่าในปี 2568 และลดลงเล็กน้อยเป็น 9.28 เท่าในปี 2569 แสดงให้เห็นว่าหุ้นยังมีราคาที่เหมาะสมเมื่อเทียบกับกำไร ส่วน P/BV เฉลี่ยอยู่ที่ 0.73-0.70 เท่า และอัตราเงินปันผลเฉลี่ย (DIV) อยู่ที่ 6.46-6.54%


