ก.ล.ต. เชือด “ณรงค์ ธารีรัตนาวิบูลย์” พร้อมพวก อินไซเดอร์เทรดหุ้น AIE-AI สั่งปรับ 83 ลบ.

ก.ล.ต. กล่าวโทษ “ณรงค์ ธารีรัตนาวิบูลย์” พร้อมเครือญาติและพวก รวมทั้งหมด 8 ราย อินไซเดอร์เทรดหุ้น AIE-AI สั่งปรับ 83 ล้านบาท พร้อมสั่งห้ามเป็นกรรมการและผู้บริหาร


สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เปิดเผยว่า จากข้อมูลที่ได้รับจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในปี 2564 และการตรวจสอบเพิ่มเติม พบข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานที่เชื่อได้ว่า ในช่วงเดือนมีนาคมถึงพฤษภาคม 2564 ซึ่งเป็นช่วงก่อนการเปิดเผยผลการดำเนินงานไตรมาส 1 ปี 2564 ของบริษัท เอไอ เอ็นเนอร์จี จำกัด (มหาชน) หรือ AIE และบริษัท เอเชียน อินซูเลเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ AI เมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 2564 เวลา 17:00 น. ซึ่งแสดงผลกำไรสุทธิลดลงอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า และช่วงเดียวกันของปี 2563 อันเป็นข้อมูลที่มีผลกระทบเชิงลบต่อราคาหุ้นของทั้งสองบริษัท มีการกระทำที่เข้าข่ายเป็นความผิดของผู้เกี่ยวข้อง ดังต่อไปนี้

กรณีหุ้น AIE ในช่วงระหว่างวันที่ 15 มีนาคม – 12 พฤษภาคม 2564 ผู้กระทำความผิด จำนวน 6 ราย

1.) นางสาวพิมพ์วรรณ ธารีรัตนาวิบูลย์ กรรมการผู้จัดการและกรรมการของ AIE เป็นบุคคลที่รู้หรือครอบครองข้อมูลภายใน ได้ขายหุ้น AIE โดยใช้ข้อมูลภายในดังกล่าวในบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ของตนเอง อันเป็นความผิดฐานขายหลักทรัพย์โดยเป็นบุคคลซึ่งรู้หรือครอบครองข้อมูลภายใน

2.) นายณรงค์ ธารีรัตนาวิบูลย์ ประธานกรรมการและประธานกรรมการบริหารของ AIE เป็นบุคคลที่รู้หรือครอบครองข้อมูลภายในดังกล่าว ได้ติดต่อและเจรจากับบุคคลให้ไปติดต่อซื้อหุ้น AIE ในรายการการซื้อขายหลักทรัพย์รายใหญ่ (Big Lot) จากนายนพพล ธารีรัตนาวิบูลย์ ซึ่งเป็นบุตรของนายณรงค์ และนายนพพลได้ขายหุ้น AIE ในบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ของตนเองจำนวนมากผิดไปจากปกติวิสัย อันเป็นความผิดฐานเปิดเผยข้อมูลภายในแก่บุคคลอื่น โดยรู้หรือควรรู้ว่าผู้รับข้อมูลอาจนำข้อมูลไปใช้ประโยชน์ในการขายหลักทรัพย์

3.) นายนพพล ธารีรัตนาวิบูลย์ บุตรของนายนายณรงค์ ได้รับการติดต่อขอซื้อหุ้น AIE แบบ Big Lot จากบุคคลซึ่งนายณรงค์ได้ติดต่อและเจรจาให้ และนายนพพลได้ขายหุ้น AIE จำนวนมากผิดไปจากปกติวิสัยในบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ของนายนพพล อันเป็นความผิดฐานขายหลักทรัพย์โดยเป็นบุคคลซึ่งรู้หรือครอบครองข้อมูลภายใน

4.) นายโกวิท ธารีรัตนาวิบูลย์ ในฐานะตัวแทนของของ AI ซึ่งเป็นบริษัทที่ถือหุ้นใน AIE เข้าร่วมประชุมคณะกรรมการบริหารของ AIE เป็นบุคคลที่รู้หรือครอบครองข้อมูลภายใน ได้ขายหุ้น AIE โดยใช้ข้อมูลภายในดังกล่าว โดยได้ขายหุ้นของตนเองในบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ของตนเองและที่อยู่ในบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ของนางจารุณี วรกิจจานุวัฒน์ (มารดาของภรรยานายโกวิท) อันเป็นความผิดฐานขายหลักทรัพย์โดยเป็นบุคคลซึ่งรู้หรือครอบครองข้อมูลภายใน และน่าเชื่อว่านายโกวิทได้เปิดเผยข้อมูลภายในดังกล่าวแก่นายพงศภัค ธารีรัตนาวิบูลย์ (บุตรของนายโกวิท) และนายพงศภัคได้ขายหุ้น AIE อันเป็นความผิดฐานเปิดเผยข้อมูลภายในแก่บุคคลอื่นโดยรู้หรือควรรู้ว่าผู้รับข้อมูลอาจนำข้อมูลไปใช้ประโยชน์ในการขายหลักทรัพย์

5.) นายพงศภัค ธารีรัตนาวิบูลย์ บุตรของนายโกวิท เป็นบุคคลที่รู้หรือครอบครองข้อมูลภายใน ได้ขายหุ้น AIE จำนวนมากผิดไปจากปกติวิสัย ในบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ของตนเอง ซึ่งน่าเชื่อว่าได้รับการเปิดเผยข้อมูลภายในจากนายโกวิท (บิดาของนายพงศภัค) อันเป็นความผิดฐานขายหลักทรัพย์โดยเป็นบุคคลซึ่งรู้หรือครอบครองข้อมูลภายใน

6.) นางจารุณี วรกิจจานุวัฒน์ มารดาของภรรยานายโกวิท ได้ยินยอมให้นายโกวิทใช้บัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ของตนขายหุ้น AIE โดยอาศัยข้อมูลภายในที่นายโกวิทได้ล่วงรู้มา อันเป็นความผิดฐานช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกแก่บุคคลอื่นในการกระทำความผิด

กรณีหุ้น AI ในระหว่างวันที่ 16 มีนาคม – 12 พฤษภาคม 2564 ผู้กระทำความผิดจำนวน 3 ราย

1.) นายธนิตย์ ธารีรัตนาวิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายการเงินของ AI เป็นบุคคลซึ่งรู้หรือครอบครองข้อมูลภายใน ได้ขายหุ้น AI โดยใช้ข้อมูลภายในดังกล่าวในบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ของตนเอง อันเป็นความผิดฐานขายหลักทรัพย์โดยเป็นบุคคลซึ่งรู้หรือครอบครองข้อมูลภายใน

2.) นายโกวิท ธารีรัตนาวิบูลย์ กรรมการและกรรมการบริหารของ AI เป็นบุคคลซึ่งรู้หรือครอบครองข้อมูลภายใน ได้ขายหุ้น AI โดยใช้ข้อมูลภายในดังกล่าว โดยได้ขายหุ้นของตนเองในบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ของตนเองและที่อยู่ในบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ของนายชลสินธุ์ วรกิจจานุวัฒน์ (น้องของภรรยานายโกวิท) อันเป็นความผิดฐานขายหลักทรัพย์โดยเป็นบุคคลซึ่งรู้หรือครอบครองข้อมูลภายใน

3.) นายชลสินธุ์ วรกิจจานุวัฒน์ น้องของภรรยานายโกวิท ได้ยินยอมให้นายโกวิทใช้บัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ของตนขายหุ้น AI โดยอาศัยข้อมูลภายในที่นายโกวิทได้ล่วงรู้มา อันเป็นความผิดฐานช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกแก่บุคคลอื่นในการกระทำความผิด

การกระทำของผู้กระทำผิดทั้ง 8 ราย เป็นความผิดฐานขายหลักทรัพย์โดยเป็นบุคคลซึ่งรู้หรือครอบครองข้อมูลภายใน เปิดเผยข้อมูลภายในแก่บุคคลอื่น โดยรู้หรือควรรู้ว่าผู้รับข้อมูลอาจนำข้อมูลไปใช้ประโยชน์ในการขายหลักทรัพย์ หรือช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกแก่บุคคลอื่นในการกระทำความผิด ตามมาตรา 242 (1) ตามมาตรา 242 (2) ประกอบมาตรา 243 (1) มาตรา 244 (3) มาตรา 315 ซึ่งมีบทกำหนดโทษตามมาตรา 296 มาตรา 296/2 และมาตรการลงโทษทางแพ่งตามมาตรา 317/4 และมาตรา 317/5 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 แล้วแต่กรณี

คณะกรรมการพิจารณามาตรการลงโทษทางแพ่ง (ค.ม.พ.) มีมติให้นำมาตรการลงโทษทางแพ่งมาใช้บังคับกับผู้กระทำความผิดทั้ง 8 รายดังกล่าว โดยกำหนดมาตรการลงโทษทางแพ่ง ได้แก่ ค่าปรับทางแพ่ง ชดใช้เงินในจำนวนเท่ากับผลประโยชน์ที่ได้รับหรือพึงได้รับ ชดใช้ค่าใช้จ่ายของ ก.ล.ต. เนื่องจากการตรวจสอบการกระทำความผิด และห้ามเป็นกรรมการหรือผู้บริหารในบริษัทที่ออกหลักทรัพย์หรือบริษัทหลักทรัพย์ ดังนี้

1.) ให้นางสาวพิมพ์วรรณ ชำระค่าปรับทางแพ่ง ชดใช้เงินในจำนวนเท่ากับผลประโยชน์ที่ได้รับหรือพึงได้รับ และชดใช้ค่าใช้จ่ายของ ก.ล.ต. เนื่องจากการตรวจสอบการกระทำความผิด เป็นเงินรวมทั้งสิ้น 1,076,852 บาท และกำหนดมาตรการห้ามเป็นกรรมการหรือผู้บริหาร เป็นเวลา 12 เดือน

2.) ให้นายณรงค์ ชำระค่าปรับทางแพ่ง และชดใช้ค่าใช้จ่ายของ ก.ล.ต. เนื่องจากการตรวจสอบการกระทำความผิด เป็นเงินรวมทั้งสิ้น 609,352 บาท และกำหนดมาตรการห้ามเป็นกรรมการหรือผู้บริหาร เป็นเวลา 14 เดือน

3.) ให้นายนพพล ชำระค่าปรับทางแพ่ง และชดใช้ค่าใช้จ่ายของ ก.ล.ต. เนื่องจากการตรวจสอบการกระทำความผิด เป็นเงินรวมทั้งสิ้น 609,352 บาท และกำหนดมาตรการห้ามเป็นกรรมการหรือผู้บริหารเป็นเวลา 12 เดือน

4.) ให้นายโกวิท ชำระค่าปรับทางแพ่ง ชดใช้เงินในจำนวนเท่ากับผลประโยชน์ที่ได้รับหรือพึงได้รับ และชดใช้ค่าใช้จ่ายของ ก.ล.ต. เนื่องจากการตรวจสอบการกระทำความผิด กรณีหุ้น AIE เป็นเงินรวม 5,511,135 บาทกรณีหุ้น AI เป็นเงินรวม 9,187,421 บาท รวมสองกรณีเป็นเงินทั้งสิ้น 14,698,556 บาท และกำหนดมาตรการห้ามเป็นกรรมการหรือผู้บริหารในกรณีหุ้น AIE เป็นเวลา 28 เดือน และกรณีหุ้น AI เป็นเวลา 14 เดือน รวมสองกรณีเป็นเวลา 42 เดือน

5.) ให้นายพงศภัค ชำระค่าปรับทางแพ่ง ชดใช้เงินในจำนวนเท่ากับผลประโยชน์ที่ได้รับหรือพึงได้รับ และชดใช้ค่าใช้จ่ายของ ก.ล.ต. เนื่องจากการตรวจสอบการกระทำความผิด เป็นเงินรวมทั้งสิ้น 759,352 บาท และกำหนดมาตรการห้ามเป็นกรรมการหรือผู้บริหารเป็นเวลา 12 เดือน

6.) ให้นางจารุณี ชำระค่าปรับทางแพ่ง และชดใช้ค่าใช้จ่ายของ ก.ล.ต. เนื่องจากการตรวจสอบการกระทำความผิด เป็นเงินรวมทั้งสิ้น 609,352 บาท และกำหนดมาตรการห้ามเป็นกรรมการหรือผู้บริหารเป็นเวลา 9 เดือน

7.) ให้นายธนิตย์ ชำระค่าปรับทางแพ่ง ชดใช้เงินในจำนวนเท่ากับผลประโยชน์ที่ได้รับหรือพึงได้รับ และ
ชดใช้ค่าใช้จ่ายของ ก.ล.ต. เนื่องจากการตรวจสอบการกระทำความผิด เป็นเงินรวมทั้งสิ้น 63,815,705 บาท
และกำหนดมาตรการห้ามเป็นกรรมการหรือผู้บริหาร เป็นเวลา 20 เดือน

8.) ให้นายชลสินธุ์ ชำระค่าปรับทางแพ่ง และชดใช้ค่าใช้จ่ายของ ก.ล.ต. เนื่องจากการตรวจสอบการกระทำความผิด เป็นเงินรวมทั้งสิ้น 718,705 บาท และกำหนดมาตรการห้ามเป็นกรรมการหรือผู้บริหารเป็นเวลา 9 เดือน

มาตรการลงโทษทางแพ่งที่ ค.ม.พ. กำหนดจะมีผลนับตั้งแต่วันที่ผู้กระทำความผิดลงนามในบันทึกการยินยอมปฏิบัติตามมาตรการลงโทษทางแพ่งที่ ค.ม.พ. กำหนด หากผู้กระทำความผิดไม่ยินยอม ก.ล.ต. จะมีหนังสือขอให้พนักงานอัยการดำเนินการฟ้องคดีต่อศาลแพ่งเพื่อกำหนดมาตรการลงโทษทางแพ่งในอัตราที่อัตราสูงสุดที่กฎหมายบัญญัติโดยไม่ต่ำกว่าอัตราที่ ค.ม.พ. กำหนด

ทั้งนี้ เงินค่าปรับทางแพ่งและเงินค่าชดใช้คืนผลประโยชน์ที่ได้รับจากการกระทำความผิดเป็นรายได้แผ่นดินที่นำส่งกระทรวงการคลัง

Back to top button