เปิด “35 บจ.” ราคา “พุ่งแรง” รอบ 11 เดือนปี 68 ชู 5 หุ้นน่าเก็บอนาคตสดใส

สำรวจ 35 หุ้นเด่นราคาพุ่งแรง ชนะ SET Index ร่วง 10.25% ใน 11 เดือนแรก จับตา TFG, KTB, BCPG, BAM และ TOP นักวิเคราะห์มองแนวโน้มธุรกิจสดใส มีโอกาสปรับตัวขึ้นต่อในปี 69


“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” รายงานข้อมูลอ้างอิงจากตลาดหลักทรัพย์ฯ ว่าในช่วง 11 เดือนแรกของปี 2568 ทาง SET Index ปรับตัวลดลง โดย ณ วันที่ 28 พ.ย. 2568 ปิดที่ระดับ 1,256.69 จุด ลดลง 143.52 จุด หรือคิดเป็น 10.25% เมื่อเทียบกับระดับปิด ณ วันที่ 30 ธ.ค. 2567 ที่ระดับ 1,400.21 จุด

ทั้งนี้ การสำรวจราคาหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดแห่งประเทศไทย (SET) พบว่า มี 35 บริษัท ที่ราคาปรับตัวขึ้นมากกว่า 10% ในช่วงดังกล่าว โดยกลุ่มหลักทรัพย์ที่ปรับตัวสูงมีทั้งบริษัทที่เป็นเป้าหมายเก็งกำไรตามปัจจัยเฉพาะตัว และบริษัทที่มีผลประกอบการพลิกฟื้นชัดเจน อาทิ

บริษัท เน็กซ์ พอยท์ จำกัด (มหาชน) หรือ NEX โดยราคาหุ้น ณ วันที่ 28 พ.ย. 68 ปิดที่ระดับ 1.11 บาท ขณะที่วันที่ 30 ธ.ค. 67 ราคาปิดที่ระดับ 0.64 บาท ส่งผลให้ปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.47 บาท หรือคิดเป็น 73.44%

บริษัท ไทยฟู้ดส์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TFG โดยราคาหุ้น ณ วันที่ 28 พ.ย. 68 ปิดที่ระดับ 4.52 บาท ขณะที่วันที่ 30 ธ.ค. 67 ราคาปิดที่ระดับ 3.38 บาท ส่งผลให้ปรับตัวเพิ่มขึ้น 1.14 บาท หรือคิดเป็น 33.73%

ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTB  โดยราคาหุ้น ณ วันที่ 28 พ.ย. 68 ปิดที่ระดับ 27.50 บาท ขณะที่วันที่ 30 ธ.ค. 67 ราคาปิดที่ระดับ 21.00 บาท ส่งผลให้ปรับตัวเพิ่มขึ้น 6.50 บาท หรือคิดเป็น 30.95%

บริษัท บีซีพีจี จำกัด (มหาชน) หรือ BCPG โดยราคาหุ้น ณ วันที่ 28 พ.ย. 68 ปิดที่ระดับ 7.15 บาท ขณะที่วันที่ 30 ธ.ค. 67 ราคาปิดที่ระดับ 5.55 บาท ส่งผลให้ปรับตัวเพิ่มขึ้น 1.60 บาท หรือคิดเป็น 28.83%

บริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ BAM โดยราคาหุ้น ณ วันที่ 28 พ.ย. 68 ปิดที่ระดับ 7.65 บาท ขณะที่วันที่ 30 ธ.ค. 67 ราคาปิดที่ระดับ 6.10 บาท ส่งผลให้ปรับตัวเพิ่มขึ้น 1.55 บาท หรือคิดเป็น 25.41%

บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP โดยราคาหุ้น ณ วันที่ 28 พ.ย. 68 ปิดที่ระดับ 35.00 บาท ขณะที่วันที่ 30 ธ.ค. 67 ราคาปิดที่ระดับ 28.25 บาท ส่งให้ปรับตัวเพิ่มขึ้น 6.75 บาท หรือคิดเป็น 23.89%

บริษัท กรุงไทยคาร์เร้นท์ แอนด์ ลีส จำกัด (มหาชน) หรือ KCAR โดยราคาหุ้น ณ วันที่ 28 พ.ย. 68 ปิดที่ระดับ 5.3 บาท ขณะที่วันที่ 30 ธ.ค. 67 ราคาปิดที่ระดับ 4.54 บาท ส่งให้ปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.76 บาท หรือคิดเป็น 16.74%

บริษัท บิสซิเนสอะไลเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ BIZ โดยราคาหุ้น ณ วันที่ 28 พ.ย. 68 ปิดที่ระดับ 3.96 บาท ขณะที่วันที่ 30 ธ.ค. 67 ราคาปิดที่ระดับ 3.42 บาท ส่งให้ปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.54 บาท หรือคิดเป็น 15.79%,

บริษัท ทีม คอนซัลติ้ง เอนจิเนียริ่ง แอนด์ แมเนจเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ TEAMG โดยราคาหุ้น ณ วันที่ 28 พ.ย. 68 ปิดที่ระดับ 3.04 บาท ขณะที่วันที่ 30 ธ.ค. 67 ราคาปิดที่ระดับ 2.68 บาท ส่งให้ปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.36 บาท หรือคิดเป็น 13.43%,

บริษัท ไทยวา จำกัด (มหาชน) หรือ TWPC  โดยราคาหุ้น ณ วันที่ 28 พ.ย. 68 ปิดที่ระดับ 2.98 บาท ขณะที่วันที่ 30 ธ.ค. 67 ราคาปิดที่ระดับ 2.66 บาท ส่งให้ปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.32 บาท หรือคิดเป็น 12.03%

ทั้งนี้ จากการวิเคราะห์ราคาหุ้นในช่วง 11 เดือนแรกที่ผ่านมา พบว่ามีหลักทรัพย์บางกลุ่มปรับตัวขึ้นอย่างร้อนแรง สะท้อนแรงเก็งกำไรและความเชื่อมั่นของนักลงทุนในปัจจัยเฉพาะตัวของบริษัทนั้น ๆ ขณะเดียวกัน นักวิเคราะห์ประเมินว่า หุ้นบางแห่งยังมีโอกาสปรับตัวขึ้นต่อได้ในระยะข้างหน้า โดยเฉพาะ TFG, KTB, BCPG, BAM และ TOP ซึ่งได้รับการประเมินแนวโน้มธุรกิจและผลประกอบการที่สดใส ทั้งจากปัจจัยเชิงพื้นฐาน การฟื้นตัวของรายได้ และโอกาสในการขยายตัวของตลาด ส่งผลให้นักลงทุนยังคงมีมุมมองบวกต่อการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นกลุ่มดังกล่าว

บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KS ระบุในบทวิเคราะห์ว่า TFG คาดว่าแนวโน้มการดำเนินงานในปี 2569 จะสดใส โดยธุรกิจค้าปลีกมีแนวโน้มเติบโตประมาณ 30% พร้อมตั้งเป้าขยายสาขาให้ครบ 850 แห่งภายในสิ้นปี และปัจจุบันบริษัทได้จัดหาที่ดินเพื่อพัฒนาสาขาแล้วประมาณ 720 แห่ง

นอกจากนี้ TFG มีแผนเพิ่มสัดส่วนผลิตภัณฑ์ที่ไม่ใช่ของเครือ เพื่อช่วยลดการพึ่งพาธุรกิจปศุสัตว์ และสนับสนุนการขยายอัตรากำไรของธุรกิจค้าปลีกในระยะสั้น โดยอัตราการเติบโตของยอดขายสาขาเดิม (SSSG) คาดว่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นจากระดับ 8% ในไตรมาสก่อนหน้า โดยได้รับแรงหนุนจากราคาปศุสัตว์ที่ปรับลดกลับสู่ภาวะปกติ และปริมาณการผลิตที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง

บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ระบุในบทวิเคราะห์ว่า มีมุมมองเชิงบวกต่อ KTB มากขึ้น โดยประเมินว่าในช่วง 2 ปีข้างหน้า KTB จะสามารถรักษาระดับผลตอบแทนต่อผู้ถือหุ้น (ROE) ให้อยู่เหนือ 10% อย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้บริษัทรายงานปรับสมมติฐาน Sustainable ROE จากเดิม 8% เป็น 10% และกำหนดมูลค่าเหมาะสมใหม่สำหรับปี 2569 อยู่ที่ 32 บาท ขณะที่ราคาหุ้นปัจจุบันยังมีอัพไซด์ประมาณ 17.4%

นอกจากนี้ KTB ได้ประกาศจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลหุ้นละ 0.43 บาท คิดเป็นอัตราผลตอบแทนเงินปันผล (Dividend Yield) ประมาณ 1.6%

สำหรับประเด็นสำคัญจากการประชุมนักวิเคราะห์ ได้แก่ คาดการณ์ GDP ไทยปี 2568 เติบโต 2% เมื่อเทียบกับปีก่อน, แนวโน้มกำไรสุทธิไตรมาส 4/2568 คาดว่าจะปรับตัวลดลงทั้งเมื่อเทียบปีต่อปีและไตรมาสต่อไตรมาส และ KTB อยู่ระหว่างการพิจารณาจัดตั้งบริษัทร่วมทุนบริหารสินทรัพย์ (JVAMC)

ทั้งนี้ นักวิเคราะห์ได้ปรับเพิ่มประมาณการกำไรสุทธิปี 2568–2569 ขึ้น 4.3% และ 0.8% ตามลำดับ เพื่อสะท้อนผลประกอบการปี 2568 ที่ออกมาดีกว่าคาด และแนวโน้มการตั้งสำรองที่คาดว่าจะผ่อนคลายลงในไตรมาส 4/2568 โดยประมาณการกำไรสุทธิทั้งปี 2569 อยู่ที่ 47,954 ล้านบาท เติบโต 9.3% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า

บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) หรือ KSS นักวิเคราะห์ประเมินว่า BCPG แนวโน้มกำไรปกติไตรมาส 4/2568 ยังมีทิศทางเติบโตเมื่อเทียบกับปีก่อน โดยได้รับแรงหนุนจากปัจจัยสำคัญ ได้แก่ 1.) รายได้จาก Capacity Payment ของโรงไฟฟ้าก๊าซในสหรัฐอเมริกา ที่ปรับเพิ่มขึ้นจาก 29 ดอลลาร์สหรัฐต่อเมกะวัตต์-วัน เป็น 270 ดอลลาร์สหรัฐต่อเมกะวัตต์-วัน, 2.) ปริมาณน้ำในเขื่อน Namsan 3 ที่ยังคงอยู่ในระดับสูง และ 3.) ส่วนแบ่งกำไรจากโครงการ Monsoon ที่คาดว่าจะพลิกกลับมาเป็นบวก ภายใต้สมมติฐานอัตราการเดินเครื่อง (CUF) ที่ 50–60%

อย่างไรก็ดี กำไรไตรมาสดังกล่าวคาดว่าจะปรับตัวลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนตามปัจจัยฤดูกาล

บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด ระบุในบทวิเคราะห์ว่า มีมุมมองเชิงบวกต่อ BAM โดยประเมินว่าผลการดำเนินงานของบริษัทมีศักยภาพในการเติบโตต่อเนื่องในงวดไตรมาส 4/2568 ซึ่งรายได้จากการเรียกเก็บเงินมีแนวโน้มขยายตัวตามปัจจัยฤดูกาล

นอกจากนี้ BAM ยังมีโอกาสเพิ่มพอร์ตสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ (NPA) และหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) จากการที่ธนาคารแห่งประเทศไทยอนุมัติให้ธนาคารพาณิชย์ สถาบันการเงินเฉพาะกิจ และธุรกิจไฟแนนซ์ สามารถร่วมทุนจัดตั้งบริษัทร่วมทุนบริหารหนี้เสีย (JVAMC)

ฝ่ายวิจัยระบุว่า BAM เป็นหนึ่งในผู้ประกอบการที่มีความพร้อมมากที่สุด เนื่องจากปัจจุบันบริษัทมีบริษัทร่วมทุนกับธนาคารออมสิน ได้แก่ Ari AMC สำหรับรับซื้อหนี้เสียที่ไม่มีหลักประกัน และ Arun AMC ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนกับธนาคารกสิกรไทย (KBANK) สำหรับรับซื้อหนี้เสียที่มีหลักประกัน โดยคาดว่าความคืบหน้าเกี่ยวกับ JVAMC จะเกิดขึ้นเพิ่มเติมภายในปี 2569

บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์ว่า สำหรับธุรกิจตลาดผลิตภัณฑ์น้ำมันของ TOP บริษัทคาดว่าค่าการกลั่น (crack spread) ที่อยู่ในระดับแข็งแกร่งในปัจจุบัน จะยังคงทรงตัวในระดับสูงอย่างน้อยจนถึงไตรมาส 1/2569 โดยได้รับแรงหนุนจากปริมาณสำรองน้ำมันที่อยู่ในระดับต่ำ และอุปสงค์การใช้พลังงานความร้อนที่เพิ่มขึ้นในช่วงฤดูหนาว ซึ่งช่วยชดเชยอุปทานที่ทยอยกลับเข้าสู่ตลาดหลังการปิดซ่อมบำรุงช่วงปลายปี

อย่างไรก็ดี บริษัทประเมินว่าธุรกิจยังคงได้รับแรงสนับสนุนเพิ่มเติมจากการปิดโรงกลั่นอย่างต่อเนื่องในประเทศแถบตะวันตกในปี 2569

สำหรับธุรกิจปิโตรเคมี ทั้งสายอะโรเมติกส์และโอเลฟินส์ บริษัทคาดว่าจะเผชิญความท้าทายจากอุปทานใหม่ที่จะเข้าสู่ตลาดในปี 2569 ส่งผลให้ภาวะอุปทานส่วนเกิน (oversupply) ยังคงกดดันส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมี (petrochemical product price spread)

Back to top button