“บล.กรุงศรี” ชี้มาตรการ TISA กระตุ้นตลาด ชู 3 หุ้นยีลด์สูงรับประโยชน์

บล.กรุงศรีแนะนำเน้นหุ้นขนาดใหญ่ปันผลสูง KTB, KBANK และ ADVANC ได้ประโยชน์จากมาตรการ TISA นักลงทุนรายย่อยสามารถรับสิทธิลดหย่อนภาษี พร้อมสร้างสภาพคล่องและความมั่นใจตลาดหุ้นไทย


ผู้สื่อข่าวรายง่าว่า จากบทวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) หรือ KSS รายงานเกี่ยวกับปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นไทยและกระแสเงินลงทุนจากต่างชาติในปัจจุบัน โดยแบ่งออกเป็นสองประเด็นหลัก ซึ่งประเด็นที่ได้รับความสนใจสูงสุด คือมาตรการด้านภาษีเพื่อส่งเสริมการลงทุนของภาครัฐ

กระทรวงการคลังอยู่ระหว่างพิจารณาโครงการ TISA (Thailand Individual Savings Account) ซึ่งเป็นแนวคิดที่ใกล้เคียงกับโครงการ NISA ของประเทศญี่ปุ่น โครงการดังกล่าวเปิดโอกาสให้นักลงทุนรายย่อยสามารถลงทุนโดยตรงในหุ้นปันผล พร้อมทั้งสามารถนำเงินลงทุนดังกล่าวไปใช้ลดหย่อนภาษีได้ หากถือครองในระยะยาว โดยมาตรการนี้คาดว่าจะช่วยกระตุ้นการออมและการลงทุนของประชาชน รวมถึงส่งเสริมสภาพคล่องและความมั่นคงของตลาดทุนไทย

บล.กรุงศรี ประเมินว่ามาตรการ TISA จะส่งผลเชิงบวกต่อตลาดหุ้นไทยอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะหุ้นที่มีอัตราเงินปันผลสูง อาทิ กลุ่มธนาคาร ซึ่งส่วนใหญ่ในดัชนี SET50 มีอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลมากกว่า 6% จึงมีแนวโน้มได้รับประโยชน์จากมาตรการดังกล่าวสูงสุด แม้ว่ากระแสเงินทุนอาจยังไม่ไหลเข้าในระดับหลายพันล้านบาททันที แต่เชื่อว่าจะช่วยลดความผันผวนของตลาด เนื่องจากนักลงทุนที่เข้ามาจะเน้นการถือครองระยะยาวเพื่อรับปันผลควบคู่สิทธิประโยชน์ทางภาษี

อีกทั้งยังเผยความคืบหน้ามาตรการส่งเสริมการออมผ่านตลาดทุน โดยระบุว่ารัฐบาลเตรียมเสนอมาตรการใหม่เข้าสู่การพิจารณาของที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในวันที่ 9 ธันวาคมนี้ โดยมีหัวใจสำคัญคือการนำระบบบัญชีออมการลงทุนส่วนบุคคล หรือ Individual Saving Account (ISA) มาใช้ เพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนทุกคนมีบัญชีลงทุน 1 บัญชี โดยสามารถเลือกลงทุนในตลาดทุนได้ตามระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ และสามารถนำยอดเงินลงทุนไปใช้เป็นสิทธิลดหย่อนภาษีโดยตรง

กระทรวงการคลังเตรียมเสนอให้กำหนดเพดานลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสูงสุดไม่เกิน 800,000 บาทต่อปี ครอบคลุมสิทธิลดหย่อนทุกประเภท รวมถึงมาตรการที่เกี่ยวข้องกับการกระตุ้นตลาดทุนของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยมาตรการ TISA หรือ Thailand Individual Saving Account จะถูกรวมอยู่ภายใต้เพดานดังกล่าวเช่นกัน ทำให้กรอบวงเงินลดหย่อนยังคงอยู่ที่ 800,000 บาทต่อคนต่อปี แต่มีความยืดหยุ่นมากขึ้นจากเดิมที่ต้องเลือกเฉพาะ 3 ช่องทาง คือ กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ, RMF และ ThaiESG โดยจะเพิ่มเป็น 4 ช่องทาง ได้แก่ กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ, RMF, ThaiESG และ TISA

โดย บล.กรุงศรี ระบุว่า จุดเด่นสำคัญของ TISA คือการเป็นมาตรการถาวร ไม่จำกัดระยะเวลา 5 ปีเหมือนมาตรการเดิม และเปิดให้ผู้ลงทุนสามารถลงทุนหุ้นรายตัวในตลาดหุ้นไทยได้โดยตรง พร้อมรับสิทธิลดหย่อนภาษีเมื่อปฏิบัติตามเงื่อนไขที่กำหนด ซึ่งคาดว่าจะช่วยสร้างฐานเงินลงทุนระยะยาวให้ตลาดไทยอย่างต่อเนื่อง เพิ่มสภาพคล่อง และช่วยฟื้นความเชื่อมั่นของตลาดจากภาวะชะลอตัวในปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม ยังต้องติดตามรายละเอียดกฎเกณฑ์การจัดสรรเงินลงทุนและเงื่อนไขเพิ่มเติมของโครงการ TISA เมื่อมีการประกาศอย่างเป็นทางการ

สำหรับกลยุทธ์การลงทุนภายใต้มาตรการใหม่ บล.กรุงศรี แนะนำให้เน้นหุ้นขนาดใหญ่ที่มีพื้นฐานแข็งแกร่งและให้เงินปันผลสม่ำเสมอ โดยเฉพาะกลุ่มธนาคาร ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีแนวโน้มได้ประโยชน์โดยตรงจากมาตรการ TISA เนื่องจากให้อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลระดับสูง 6% ได้แก่ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTB และธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBANK

ขณะเดียวกัน หุ้นในกลุ่มสื่อสารอย่าง บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ ADVANC โดยให้อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลประมาณ 4% ซึ่งเป็นอีกหนึ่งกลุ่มที่น่าสนใจสำหรับการลงทุนระยะยาวภายใต้มาตรการดังกล่าว

Back to top button