SR ชนะคดีชั้นอุทธรณ์ ศาลสั่งอดีตผู้บริหารคืนเงินทุจริต 298 ล้านบาท

SR แจ้งตลาดหลักทรัพย์ฯ กรณีศาลอุทธรณ์พิพากษากลุ่มอดีตผู้บริหารและอดีตพนักงานมีความผิดฐานฉ้อโกงโครงการก่อสร้าง 5 โครงการ สั่งร่วมกันชดใช้เงิน 298.26 ล้านบาท พร้อมโทษจำคุก ขณะเดียวกันคดีแรงงานรอคำศาลฎีกาพิจารณา


บริษัท สยามราช จำกัด (มหาชน) หรือ SR แจ้งความคืบหน้าข้อพิพาทซึ่งอยู่ระหว่างการดำเนินคดีผ่านตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยระบุถึง 2 คดีสำคัญที่เกี่ยวข้องกับการทุจริตของอดีตกรรมการบริหารและอดีตพนักงาน ซึ่งมีมูลค่าความเสียหายรวมทั้งสิ้น 298.26 ล้านบาท จากการเรียกรับเงินส่วนต่างค่าจ้างจากโครงการก่อสร้างจำนวน 5 โครงการ

สำหรับ คดีที่ 1 บริษัทและพนักงานอัยการได้ร่วมกันยื่นฟ้องกลุ่มอดีตผู้บริหารและอดีตพนักงานต่อศาลแขวงสมุทรปราการ ตั้งแต่วันที่ 29 มิถุนายน 2565 ในข้อหาร่วมกันฉ้อโกงเงินส่วนต่างค่าจ้างจากโครงการก่อสร้าง รวมเป็นเงิน 298.26 ล้านบาท พร้อมเรียกร้องค่าเสียหายทางแพ่งในจำนวนเท่ากัน

ทั้งนี้ ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษายกฟ้องเมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2567 ต่อมาพนักงานอัยการและบริษัทในฐานะโจทก์ร่วมได้ยื่นอุทธรณ์ และศาลอุทธรณ์ได้มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2568 กลับคำพิพากษาศาลชั้นต้น โดยเห็นว่า กลุ่มบุคคลดังกล่าวมีความผิดฐานฉ้อโกง และมีคำสั่งให้จำเลยร่วมกันชดใช้เงินจำนวน 298.26 ล้านบาท คืนให้แก่บริษัท พร้อมตัดสินโทษจำคุกตามกฎหมาย อย่างไรก็ตาม คดียังไม่ถึงที่สุดและยังอยู่ในสิทธิของจำเลยในการฎีกา

ขณะที่ คดีที่ 2 บริษัทได้ยื่นฟ้องกลุ่มบุคคลเดิมต่อศาลแรงงานภาค 1 เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2567 ในข้อหาผิดสัญญาจ้าง เนื่องจากการทุจริตดังกล่าวถือเป็นการกระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรง โดยบริษัทเรียกค่าเสียหายเป็นเงินต้น 298.26 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 5 ต่อปี นับตั้งแต่วันฟ้อง

ตามเดิมที่ศาลได้นัดสืบพยานในเดือนกันยายน 2568 ต่อมาเมื่อศาลพิจารณาแล้วเห็นว่า ข้อเท็จจริงของคดีนี้เป็นเรื่องเดียวกันกับคดีอาญาที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา จึงมีคำสั่งจำหน่ายคดีออกจากสารบบความชั่วคราว และให้รอฟังคำพิพากษาศาลฎีกาในคดีอาญาก่อน หากมีคำพิพากษาแล้ว บริษัทสามารถยื่นคำร้องขอให้รื้อคดีขึ้นพิจารณาใหม่ได้อีกครั้ง

บริษัทชี้แจงว่า เงินจำนวนดังกล่าวที่ผ่านมาได้ถูกบันทึกเป็นต้นทุนของผู้รับเหมา และบันทึกเป็นค่าใช้จ่ายไปแล้วในงบการเงินในอดีต ดังนั้น กรณีนี้จึงไม่ส่งผลกระทบต่องบการเงินในปีปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม หากบริษัทได้รับเงินคืนในอนาคต จะรับรู้เป็นรายได้ทันทีทั้งจำนวน พร้อมย้ำว่าคดีความดังกล่าวไม่กระทบต่อการดำเนินธุรกิจหลักของบริษัทแต่อย่างใด

ในด้านความเสี่ยง บริษัทระบุว่า หากคดีอาญาถูกศาลฎีกาพิพากษายกฟ้อง บริษัทอาจต้องรับภาระค่าใช้จ่ายทางคดีในวงเงินไม่เกิน 500,000 บาท ส่วนคดีแรงงาน หากถูกยกฟ้อง บริษัทจะรับภาระค่าใช้จ่ายทางคดีไม่เกิน 2,700,000 บาท โดยหากมีความคืบหน้าเพิ่มเติม บริษัทจะรายงานต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยต่อไป

Back to top button