
“ภูมิใจไทย” ฉีก MOA จับมือ สว. พลิกมติ คงอำนาจสภาสูง 1 ใน 3 แทนเสียงข้างมากโหวตแก้ รธน.
การประชุมร่วมรัฐสภาฯ ลงมติแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 256/28 พลิกผลในนาทีสุดท้าย หลังพรรคภูมิใจไทยโหวตร่วมกับ ส.ว. ให้คงอำนาจวุฒิสภา 1 ใน 3 ในการแก้รัฐธรรมนูญ แทนเสียงข้างมากของที่ประชุม จุดกระแสการเมืองเดือด พรรคประชาชนประกาศเดินหน้ายื่นซักฟอกทันที ฐานผิดข้อตกลง MOA และทำให้ร่างรัฐธรรมนูญใหม่เสี่ยงสะดุดก่อนถึงวาระสาม
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (11 ธ.ค.68) ในการประชุมร่วมรัฐสภาสมัยวิสามัญ เพื่อพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ …) พุทธศักราช … ในวาระ 2 วันที่ 2 ซึ่งเป็นการพิจารณามาตรา 256/28 เกี่ยวกับการคงเสียงของสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 ในการโหวตแก้ไขรัฐธรรมนูญ นายกรวีร์ ปริศนานันทกุล สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดอ่างทอง พรรคภูมิใจไทย ในฐานะกรรมาธิการ ได้อภิปรายว่า จากการรับฟังการอภิปรายของ ส.ว. มีความไม่มั่นใจต่อเป้าหมายใหญ่ในการนำไปสู่การแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อเปิดทางสู่รัฐธรรมนูญฉบับใหม่
ทั้งนี้ ข้อตกลงของพรรคร่วมรัฐบาลคือ พูดแล้วต้องทำตามที่รับปาก ได้แก่ การแก้รัฐธรรมนูญ การทำประชามติ และการยุบสภา ซึ่งพรรคภูมิใจไทยยึดมั่นเพื่อรักษาคำมั่นและเป้าหมายหลัก
จากการฟังท่าทีของ ส.ว. หลายคน สามารถคาดการณ์ได้ว่าอาจเกิดอุปสรรคในอีก 15 วันข้างหน้า จึงขอวิงวอนให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทุกพรรคและ ส.ว. พิจารณาอย่างรอบคอบว่าจะเลือกเดินตามคำพูดเพื่อคะแนนนิยม หรือจะเลือกเส้นทางที่อาจมีบาดแผลแต่ทำให้เป้าหมายสำเร็จ โดยยืนยันว่าไม่ได้อภิปรายเพื่อเอาใจ ส.ว. หรือหวั่นเกรงคำขู่ แต่มีความกังวลว่าเป้าหมายที่วางไว้จะไม่สำเร็จ อย่างไรก็ตามพรรคภูมิใจไทยพร้อมยอมรับความเสียหายบางประการ หากจะนำไปสู่ผลสัมฤทธิ์ของเป้าหมายใหญ่ เช่น การมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่เป็นไปได้จริงและสอดคล้องกับความเป็นจริง ไม่ใช่อุดมคติ
เมื่อเวลา 19:00 น. นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคประชาชน และผู้นำฝ่ายค้าน ได้อภิปรายว่า การลงมติมาตรา 256/28 เป็นจุดตัดสำคัญว่า “พูดแล้วทำ” เพื่อให้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่เกิดขึ้นจริงสามารถเชื่อถือได้หรือไม่ โดยเห็นว่าการใช้เสียง ส.ว. 1 ใน 3 เพื่อแก้รัฐธรรมนูญนั้น พรรคประชาชนไม่อาจยอมรับได้ เพราะเป็นการขัดต่อมติของวิปรัฐบาลและเสียงข้างมากของกรรมาธิการ หากผลโหวตเป็นเช่นนั้น ขอให้นายกรัฐมนตรีพิจารณายุบสภา พร้อมระบุว่าหากยังยืนยันใช้เสียง ส.ว. 1 ใน 3 ก็ไม่เชื่อว่าจะสามารถโหวตรัฐธรรมนูญวาระ 3 ผ่านได้จริง
ขณะเดียวกัน ที่ประชุมได้ลงมติว่าจะเห็นด้วยกับเนื้อหามาตรา 256/28 ซึ่งกำหนดให้ใช้เสียงเกินกึ่งหนึ่งของรัฐสภาในการแก้ไขรัฐธรรมนูญหรือไม่ ผลปรากฏว่า ที่ประชุมมีมติ “ไม่เห็นด้วย” ต่อเนื้อหาดังกล่าว ด้วยคะแนน 312 ต่อ 290 เสียง งดออกเสียง 6 เสียง ส่งผลให้การแก้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ยังคงต้องใช้เสียง ส.ว. ไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 ร่วมเห็นชอบตามเดิม
ภายหลัง นายณัฐพงษ์ ได้ขอให้นับคะแนนใหม่ด้วยการขานชื่อ ตามข้อบังคับการประชุม ส่งผลให้ต้องดำเนินการนับคะแนนใหม่โดยวิธีการขานชื่อทั้งหมด
ต่อมา รายงานข่าวจากมติชนระบุว่า การลงมติแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 256/28 พลิกผลกลางสภา หลังเสียงข้างมากเห็นชอบให้คงเกณฑ์ ส.ว. ต้องร่วมโหวตไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 ทำให้การพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญสะดุดทันที พรรคประชาชนประกาศเดินหน้ายื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจพรรคภูมิใจไทย โดยระบุว่าเป็นการ “ผิดสัญญาทางการเมือง” และทำให้ความพยายามผลักดันรัฐธรรมนูญใหม่เสี่ยงล้มก่อนถึงวาระสาม
ในการประชุมร่วมกันครั้งที่ 2 (สมัยวิสามัญ) ซึ่งเป็นการพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญต่อเนื่องในมาตรา 256/28 นายณัฐพงษ์ได้ลุกขึ้นตอบโต้นายกรวีร์ โดยย้ำว่าข้อตกลงระหว่างสองพรรคเกิดจากความเชื่อว่าสามารถโน้มน้าว ส.ว. ให้เห็นชอบการแก้รัฐธรรมนูญได้ แต่การที่พรรคภูมิใจไทยยืนยันจะโหวตให้คงเสียง ส.ว. 1 ใน 3 ถือเป็นจุดตัดสำคัญที่ทำให้ความเชื่อใจสั่นคลอน
นายณัฐพงษ์ ระบุว่า การทำรัฐธรรมนูญใหม่จะต้องยึดโยงประชาชนเป็นหลัก ไม่ควรปล่อยให้เงื่อนไขของ ส.ว. กลับมากำกับการตัดสินใจ พร้อมเตือนว่าหากเสียงโหวตกลับไปสู่เกณฑ์ของกรรมาธิการเสียงข้างน้อยที่เพิ่มน้ำหนัก ส.ว. 1 ใน 3 จะทำให้ร่างรัฐธรรมนูญเดินหน้าไปสู่การลงมติวาระสามได้ยาก และอาจนำไปสู่สถานการณ์การเมืองที่อาจเกิดการยุบสภาในที่สุด
ฝ่ายค้านไม่ยอมรับการฟื้นอำนาจของ ส.ว. ในกระบวนการจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ และหากพรรคภูมิใจไทยโหวตสวนเสียงข้างมาก ก็ไม่อาจเชื่อได้ว่ามีความตั้งใจสนับสนุนให้การทำรัฐธรรมนูญใหม่ประสบความสำเร็จ พร้อมชี้ว่าหากปล่อยให้ผ่านวาระสอง จะยังมีเวลา 15 วันในการร่วมกันโน้มน้าว ส.ว. สำหรับวาระสาม นายณัฐพงษ์ กล่าวเพิ่มเติม
กระทั่งเมื่อเวลา 19:35 น. ที่ประชุมลงมติ มีผู้ลงคะแนน 606 คน โดยเสียงข้างมาก 312 เสียง เห็นด้วยกับการเพิ่มเกณฑ์ ส.ว. ให้ร่วมเห็นชอบไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 ขณะที่ฝ่ายสนับสนุนของกรรมาธิการเสียงข้างมากมีคะแนน 290 เสียง และมีผู้งดออกเสียง 6 คน ทำให้ผลต่างอยู่ที่ 22 เสียง
จากผลต่างที่ไม่ถึง 30 เสียง นายณัฐพงษ์ จึงใช้สิทธิขอให้นับคะแนนใหม่ด้วยการขานชื่อ เพื่อความชัดเจนและถูกต้องตามข้อบังคับ
ล่าสุด เมื่อเวลา 20:00 น. ภายหลังจากการโหวตมาตรา 256/28 ซึ่งที่ประชุมรัฐสภามีมติไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอของกรรมาธิการเสียงข้างมากในการใช้เสียงกึ่งหนึ่งของที่ประชุมรัฐสภาเห็นชอบแก้ไขรัฐธรรมนูญ และให้กลับไปใช้เสียง ส.ว. 1 ใน 3 มีส่วนร่วมในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากพรรคภูมิใจไทยร่วมลงคะแนนโหวตพลิกมติด้วยนั้น แกนนำพรรคประชาชนได้ติดตามสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของพรรคประชาชนเพื่อร่วมลงชื่อเสนอญัตติเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 151 แบบลงมติทันที

