
เปิดมุมมอง SET หลัง “ยุบสภา” โบรกชู 10 หุ้นเด่นมีปัจจัยบวกเฉพาะตัว
“บล.กรุงศรี” ชี้หุ้นเด่นรับบรรยากาศก่อนเลือกตั้ง แนะนำ 3 กลุ่มหลักได้อานิสงส์ดอกเบี้ยขาลง เศรษฐกิจภายในคึกคัก และยอดขอส่งเสริมการลงทุน BOI เร่งตัว หนุนโอกาสฟื้นตัวต่อเนื่อง
บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) หรือ KSS เปิดเผยบทวิเคราะห์ประเมินทิศทางตลาดหุ้นไทยภายหลัง นายอนุทิน ชาญวีรกูลนายกรัฐมนตรีประกาศยุบสภา โดยคาดการณ์ว่าการเลือกตั้งใหม่จะจัดขึ้นภายในกรอบเวลา 45–60 วัน ซึ่งจะส่งผลบวกต่อทิศทางตลาดในหลายระยะ
โดยเฉพาะระยะสั้นที่มีโอกาสเห็นคณะกรรมการนโยบายการเงินปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมสัปดาห์หน้า สะท้อนแรงหนุนเชิงจิตวิทยาต่อบรรยากาศการลงทุน ขณะที่ในระยะกลาง การเดินหน้าสู่การจัดตั้งรัฐบาลใหม่ภายใต้กติกาที่กำหนดให้การเลือกนายกรัฐมนตรีขึ้นกับเสียงสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ทำให้พรรคที่ชนะการเลือกตั้งมีโอกาสสูงในการจัดตั้งรัฐบาล ส่งผลให้ภาพรวมความเสี่ยงทางการเมืองลดลงจากสถานะรัฐบาลเสียงข้างน้อยในปัจจุบัน และช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นต่อนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ
ทั้งนี้ KSS ระบุเพิ่มเติมว่า จากสถิติการยุบสภา 5 ครั้งล่าสุด พบว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยให้ผลตอบแทนเฉลี่ย +0.45% ภายในวันถัดจากการประกาศยุบสภา ขณะที่ช่วงก่อนการเลือกตั้งในรอบกติกาปกติ (ปี 2548, 2550 และ 2554) มักเห็นตลาดฟื้นตัวต่อเนื่องตั้งแต่ 2 เดือนก่อนเลือกตั้ง ไปจนถึงช่วงหาเสียงและระยะ Honeymoon Period อีก 3–6 เดือนหลังจัดตั้งรัฐบาล ซึ่งเป็นจังหวะที่ตลาดมักตอบรับเชิงบวกอย่างมีนัยสำคัญ โดย KSS คาดการณ์ว่ารอบนี้จะเกิด Election Rally ได้ในกรอบ 3–5% โดยมีปัจจัยหนุนจากความเชื่อมั่นทางการเมืองที่ดีขึ้น การใช้จ่ายในระบบเศรษฐกิจช่วงก่อนเลือกตั้ง และแรงไหลเข้าของกระแสเงินทุนต่างชาติ
ด้านกลุ่มอุตสาหกรรมที่คาดว่าจะได้รับประโยชน์เด่นในช่วง Election Rally ได้แก่ หุ้นในดัชนี SET50 และหุ้นอิงปัจจัยภายในประเทศ โดยเฉพาะกลุ่มธนาคารและธุรกิจเช่าซื้อ ซึ่งมักได้ประโยชน์จากกิจกรรมเศรษฐกิจที่คึกคักและความต้องการสินเชื่อที่เพิ่มขึ้นในช่วงการหาเสียง อีกทั้งยังมีโอกาสได้แรงหนุนจาก Fund Flow หากภาพการเมืองมีความชัดเจนและการจัดตั้งรัฐบาลเป็นไปอย่างราบรื่น
โดย KSS มองว่าปัจจัยเหล่านี้รวมกันจะเป็นแรงขับสำคัญต่อการฟื้นตัวของตลาดทุนไทยในรอบใหม่ ทั้งในระยะสั้นและระยะกลาง พร้อมย้ำว่าตลาดอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านสำคัญที่นักลงทุนควรติดตามอย่างใกล้ชิด
สำหรับกลุ่มหุ้นเด่นที่มีแนวโน้มได้รับประโยชน์จากสถานการณ์การเมืองและวัฏจักรเศรษฐกิจช่วงก่อนการเลือกตั้งสามารถแบ่งได้เป็น 3 กลุ่มหลัก กลุ่มแรกคือหุ้นที่ได้อานิสงส์จากทิศทางดอกเบี้ยขาลง ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงรอยต่อทางการเมืองที่ทำให้นโยบายการคลังชะลอชั่วคราว หุ้นที่น่าจับตาในกลุ่มนี้ ได้แก่ กลุ่มเช่าซื้อ อย่าง บริษัท เมืองไทย แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ MTC และบริษัท ศรีสวัสดิ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SAWAD รวมถึงหุ้นที่มีอัตราผลตอบแทน (Yield) สูง เช่น บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ ADVANC ตลอดจนบริษัทที่มีภาระหนี้สูงอย่าง บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ CPALL และ บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TRUE ซึ่งจะได้รับประโยชน์ทันทีจากต้นทุนทางการเงินที่ลดลง
สำหรับกลุ่มที่สอง คือหุ้นอิงปัจจัยภายในประเทศซึ่งมักฟื้นตัวได้ดีในช่วงก่อนการเลือกตั้งและช่วง Honeymoon Period ของรัฐบาลใหม่ โดยเฉพาะกลุ่มธนาคารขนาดใหญ่ เช่น ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBANK และธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTB รวมถึงธุรกิจเช่าซื้ออย่าง MTC และ SAWAD นอกจากนี้ กลุ่มค้าปลีกอย่าง CPALL ยังมีแนวโน้มโดดเด่นตามการฟื้นตัวของกำลังซื้อและกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่คึกคักในช่วงเวลาดังกล่าว
ส่วนกลุ่มที่สามคือหุ้นที่ได้แรงหนุนจากยอดขอรับการส่งเสริมการลงทุนของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ซึ่งมีแนวโน้มเร่งตัวขึ้น โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล เช่น โครงการ Data Center รวมถึงธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมอย่าง บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ WHA และธุรกิจโรงไฟฟ้า เช่น บริษัท กัลฟ์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF และบริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BGRIM ซึ่งล้วนเป็นกลุ่มที่มีความต้องการลงทุนเพิ่มขึ้นรองรับการเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัลและการขยายตัวของภาคอุตสาหกรรมในระยะถัดไป

