PCE กางแผนปี 69 เร่งโรงสกัด-กลั่นเฟส 3 ผนึก Nisshin OiliO ส่งออก 50% หนุนรายได้โต 15%

PCE วางเกมรุกปี 69 เดินหน้าโรงสกัดน้ำมันปาล์มดิบ เฟส 3 และโรงกลั่นน้ำมันปาล์มกึ่งบริสุทธิ์พรีเมี่ยม พร้อมจับมือพันธมิตรญี่ปุ่น ISF ขยายตลาดส่งออก 50% ของรายได้ ตั้งเป้ารายได้ 31,000–34,000 ล้านบาท เติบโต 10–15% หนุนกำไรครึ่งปีหลังเด่น


นายพรพิพัฒน์ ประสิทธิ์ศุภผล รองกรรมการผู้จัดการสายงานกลยุทธ์และพัฒนาองค์กร บริษัท เพชรศรีวิชัย เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด (มหาชน) หรือ PCE เปิดเผยทิศทางการดำเนินธุรกิจในปี 2569 ว่าบริษัทฯตั้งเป้าปรับโครงสร้างช่องทางจำหน่ายเพื่อขยายฐานลูกค้าต่างประเทศให้เป็นสัดส่วน 50% ของรายได้จากการขายทั้งหมด จากระดับปัจจุบันที่ราว 40% โดยจะลดสัดส่วนการขายในประเทศลงเหลือ 50% จากเดิมประมาณ 60% เพื่อกระจายความเสี่ยงและเพิ่มอัตรากำไรขั้นต้นจากการขายสินค้าเชิงมูลค่าสูง

“ตามแผนการขยายตลาดในต่างประเทศ PCE จะร่วมมือกับ The Nisshin OiliO Group, Ltd ซึ่งเป็นเครือธุรกิจที่มีเครือข่ายจำหน่ายครอบคลุมกว่า 50 ประเทศ และมีความเชี่ยวชาญในกลุ่ม Specialty Fat และผลิตภัณฑ์น้ำมันที่ใช้เป็นวัตถุดิบต่อยอด เช่น Cocoa Butter และไขมันสำหรับอุตสาหกรรมเบเกอรี่ ช็อกโกแลต และเวชสำอาง โดยพันธมิตรรายนี้มีจุดแข็งด้านการเป็น B2B Specialty Supplier ซึ่งจะช่วยผลักดันให้ผลิตภัณฑ์มูลค่าสูงของ PCE เข้าถึงตลาดเชิงอุตสาหกรรมได้รวดเร็วและมีช่องทางการจัดจำหน่ายระดับโลก” นายพรพิพัฒน์ กล่าว

การขยายตลาดดังกล่าวจะอาศัยเครือข่ายธุรกิจของกลุ่ม Nisshin OiliO ซึ่งมีการดำเนินธุรกิจในหลายประเทศทั่วโลก และมีมาตรฐานด้านอาหารรองรับสำหรับผลิตภัณฑ์ในกลุ่มช็อกโกแลต เบเกอรี และผลิตภัณฑ์จากพืช (Plant-Based) ซึ่งล้วนเป็นอุตสาหกรรมที่ใช้น้ำมันปาล์มเป็นวัตถุดิบหลักในกระบวนการผลิต ทั้งนี้ กลุ่มบริษัทจากประเทศญี่ปุ่นดังกล่าวถือเป็นผู้นำอันดับหนึ่งด้านน้ำมันรับประทานในประเทศญี่ปุ่น และ ISF ซึ่งมีฐานการผลิตในประเทศมาเลเซีย ได้ดำเนินธุรกิจโรงงานช็อกโกแลตและส่งออกสินค้าไปยังหลายประเทศทั่วโลกมาอย่างต่อเนื่อง

ในส่วนข้อมูลเชิงโครงสร้าง บริษัทเปิดเผยว่า กลุ่ม Nisshin OiliO มีรายได้รวมประมาณ 100,000 ล้านบาท ครอบคลุม 3 กลุ่มธุรกิจหลัก โดยหนึ่งในผลิตภัณฑ์ที่โดดเด่นคือ “น้ำมันทอดสูตรพิเศษ” ซึ่งสามารถใช้งานได้ต่อเนื่องสูงสุดถึง 8 ชั่วโมงต่อวัน เป็นระยะเวลา 5 วัน โดยไม่ทำให้น้ำมันเปลี่ยนสี ถือเป็นเทคโนโลยีที่มีศักยภาพสูงและสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ผู้บริหารของบริษัทจากการเข้าศึกษาดูงานในประเทศญี่ปุ่น

นอกจากนี้ กลุ่ม Nisshin OiliO  ยังมีธุรกิจช็อกโกแลตในประเทศญี่ปุ่น รวมถึงผลิตภัณฑ์สำหรับอุตสาหกรรมเครื่องสำอาง โดยมีบริษัทในเครือ เช่น CMTIC ทำหน้าที่จัดจำหน่ายวัตถุดิบให้กับตลาดญี่ปุ่นโดยตรง ปัจจุบันเครือข่ายของกลุ่ม Nissan Warrior ได้ขยายการดำเนินงานไปยัง 8 ประเทศ รวม 21 บริษัท และมีการส่งออกผลิตภัณฑ์ไปยังกว่า 54 ประเทศทั่วโลก ครองสถานะผู้นำตลาดน้ำมันรับประทานในประเทศญี่ปุ่น พร้อมมีส่วนแบ่งตลาดในกลุ่มน้ำมันเพื่ออุตสาหกรรมเครื่องสำอางและกลุ่ม Oil & Fat สำหรับอุตสาหกรรมช็อกโกแลตประมาณ 10%

นายพรพิพัฒน์ ระบุว่า ความร่วมมือดังกล่าวถือเป็นยุทธศาสตร์สำคัญในการขยายช่องทางการกระจายน้ำมันปาล์มของไทยไปสู่ตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเดิมมีการนำเข้าวัตถุดิบจากประเทศไทยในสัดส่วนไม่สูงนัก แต่เริ่มให้ความสนใจมากขึ้นจากศักยภาพด้านผลผลิตและพื้นที่เพาะปลูกของไทยที่สามารถต่อยอดไปสู่สินค้ามูลค่าสูง (High-Margin Products) ได้ในอนาคต

ด้านการผลิต บริษัทเปิดเผยว่า ทีมงานจากทั้งฝ่ายโรงกลั่นและฝ่ายต้นน้ำได้เดินทางไปศึกษารูปแบบการผลิตของ ISF ในประเทศมาเลเซีย เพื่อเตรียมนำเทคโนโลยีและกระบวนการผลิตมาประยุกต์ใช้ในการพัฒนาสายการผลิตภายในประเทศให้มีประสิทธิภาพและเป็นมาตรฐานสากลมากยิ่งขึ้น

สำหรับแผนงานในส่วนต้นน้ำ บริษัทได้กำหนดเป้าหมายหลักไว้ 3 ประการ ได้แก่ การขยายกำลังการผลิต (Increase Capacity) โดยการลงทุนขยายโรงงานสกัดในโครงการเฟส 2 และเฟส 3 ด้วยมูลค่าการลงทุนรวมประมาณ 500 ล้านบาท การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและการบริหารจัดการ (Enhance Efficiency) และการปรับปรุงการใช้พลังงานให้เกิดความคุ้มค่าสูงสุด (Optimize Energy) เพื่อรองรับการเติบโตในระยะยาว

ทั้งนี้ ในโครงการเฟส 2 บริษัทได้ดำเนินการติดตั้งและทดสอบเครื่องจักรแล้วเสร็จ และเริ่มเดินระบบการผลิตเป็นที่เรียบร้อย ส่งผลให้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้นจาก 1,800 ตันต่อวัน เป็น 3,600 ตันต่อวัน ขณะที่โครงการเฟส 3 จะดำเนินการขยายกำลังการผลิตในลักษณะเดียวกันต่อไป

นายกิตติภณ ประสิทธิ์ศุภผล รองกรรมการผู้จัดการสายงานปฏิบัติการ PCE เปิดเผยถึงแผนงานด้านการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต (Enhance Efficiency) ว่า บริษัทได้ดำเนินการปรับเปลี่ยนเทคโนโลยีของระบบหม้อนึ่งจากรูปแบบเดิมซึ่งเป็นหม้อนึ่งแนวนอน มาเป็นหม้อนึ่งแบบแนวตั้ง (Vertical Setting Sterilizer) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีรุ่นใหม่ที่สามารถยกระดับประสิทธิภาพของกระบวนการนึ่งและการสกัดได้อย่างมีนัยสำคัญ การปรับเปลี่ยนดังกล่าวช่วยเพิ่มอัตราการดึงน้ำมัน (Oil Extraction Rate) ส่งผลให้บริษัทสามารถผลิตน้ำมันปาล์มได้ในปริมาณที่มากขึ้น พร้อมทั้งลดการสูญเสียในกระบวนการผลิตได้อย่างมีประสิทธิผล

ในด้านการบริหารจัดการพลังงาน (Optimize Energy Use) บริษัทมีแผนนำพลังงานไอน้ำ (Steam) มาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดภายในระบบการผลิต รวมถึงกระบวนการขึ้นรูปปาล์ม เพื่อลดต้นทุนด้านพลังงาน และรองรับการขยายกำลังการผลิตในอนาคตอย่างยั่งยืน

สำหรับรายละเอียดของโครงการขยายกำลังการผลิตในส่วนการสกัดเฟส 2 และเฟส 3 บริษัทได้ยืนยันว่า เทคโนโลยีหลักที่นำมาใช้คือระบบ Vertical Stabilizer ซึ่งสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการสกัดได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยในส่วนของโครงการเฟส 2 ซึ่งตั้งอยู่บริเวณด้านหลังโรงงานปัจจุบัน บริษัทได้ดำเนินการติดตั้งเครื่องจักรแล้วเสร็จและเริ่มเดินระบบการผลิตเป็นที่เรียบร้อย สามารถรองรับกำลังการผลิตน้ำมันปาล์มดิบ CPO ได้ประมาณ 650 ตันต่อวัน หรือคิดเป็นกำลังการบดทะลายปาล์มสด (Fresh Fruit Bunch: FFB) ประมาณ 3,600 ตันต่อวัน ปริมาณการรับซื้อผลผลิตในส่วนนี้คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 6–10% ของผลผลิตปาล์มน้ำมันทั้งประเทศ ซึ่งถือเป็นสัดส่วนที่มีนัยสำคัญต่อการเสริมสร้างเสถียรภาพด้านวัตถุดิบของบริษัท

การขยายกำลังการผลิตดังกล่าวยังช่วยลดการพึ่งพาการจัดซื้อวัตถุดิบจากภายนอกอย่างมีนัยสำคัญ จากเดิมที่บริษัทต้องพึ่งพาการจัดซื้อ CPO จากแหล่งภายนอกในสัดส่วนสูงถึง 75% เมื่อโครงการเฟส 2 และเฟส 3 ดำเนินการแล้วเสร็จ บริษัทจะสามารถลดสัดส่วนการพึ่งพาดังกล่าวลงเหลือประมาณ 50% ส่งผลให้ความเสี่ยงด้านต้นทุนวัตถุดิบลดลง และเพิ่มศักยภาพในการควบคุมคุณภาพน้ำมันได้ดียิ่งขึ้น

จากข้อมูลในอดีต โรงสกัดเดิมของบริษัท (เฟส 1) มีความจำเป็นต้องจัดซื้อผลปาล์มสดจากเกษตรกรในสัดส่วนสูงถึง 76% ซึ่งก่อให้เกิดความเสี่ยงทั้งด้านราคาและปริมาณผลผลิต อย่างไรก็ตาม จากการลงทุนขยายกำลังการผลิตในโครงการเฟส 2 และเฟส 3 บริษัทประเมินว่า ภายในช่วงปี 2569–2570 จะสามารถลดสัดส่วนการพึ่งพาวัตถุดิบจากแหล่งภายนอกลงได้เหลือประมาณ 50% โดยจะปรับโครงสร้างการจัดหาวัตถุดิบจากการพึ่งพาการซื้อจากภายนอกเป็นหลัก ไปสู่การใช้วัตถุดิบจากระบบการผลิตที่บริษัทสามารถควบคุมได้มากขึ้น ซึ่งจะช่วยลดความผันผวนด้านราคาและความเสี่ยงจากภาวะตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ

นายกิตติภณ กล่าวเพิ่มเติมว่า ทิศทางการเติบโตและแผนการลงทุนของบริษัทในระยะถัดไป มุ่งเน้นการปรับพอร์ตธุรกิจเข้าสู่ผลิตภัณฑ์ที่มีอัตรากำไรสูงขึ้น (High-Margin Products) ควบคู่กับการเพิ่มประสิทธิภาพด้านต้นทุน (Cost Efficiency) ซึ่งคาดว่าจะช่วยสร้างผลตอบแทนที่มั่นคงและยั่งยืนในระยะยาว การลงทุนในโรงงาน โดยเฉพาะโรงสกัด ถือเป็นแกนหลักของกลยุทธ์ดังกล่าว โดยปัจจุบันบริษัทได้ดำเนินการตามแผนที่ได้สื่อสารไว้กับผู้ถือหุ้นและนักลงทุนอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ บริษัทมีโรงงานที่ติดตั้งเทคโนโลยีใหม่แล้วเสร็จและพร้อมเปิดให้เข้าชมการดำเนินงานจริง ซึ่งเทคโนโลยีดังกล่าวจะถูกนำมาใช้เป็นมาตรฐานสำหรับโรงสกัดในโครงการเฟส 3 รวมถึงโรงงานใหม่อื่น ๆ ที่อยู่ในแผนการขยายกำลังการผลิตในอนาคต อาทิ โรงแยกกากและโรงกลั่นเพิ่มเติม

นอกจากนี้ บริษัทมีแผนนำคณะผู้บริหารและผู้เกี่ยวข้องเข้าศึกษาดูงานภายในโรงงานต่าง ๆ เพื่อให้เห็นถึงองค์ประกอบสำคัญของการลงทุนด้านการขยายกำลังการผลิตและการเพิ่มประสิทธิภาพด้านต้นทุน (Cost Efficiency) ซึ่งแผนงานส่วนใหญ่จะต่อยอดจากศักยภาพของโรงงานที่มีอยู่ในปัจจุบันเป็นหลัก

สำหรับการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ บริษัทได้ดำเนินการควบคุมคุณภาพและติดตามความคืบหน้าร่วมกับพันธมิตรจากประเทศญี่ปุ่นอย่างใกล้ชิด โดยบริษัท Nisshin OiliO  ซึ่งเป็นพันธมิตรหลักของโครงการ เป็นผู้นำอันดับหนึ่งของประเทศญี่ปุ่นในอุตสาหกรรมน้ำมันพืช และมีความเชี่ยวชาญด้านน้ำมันพืชหลากหลายประเภท อาทิ น้ำมันปาล์ม น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันรำข้าว และน้ำมันพืชเฉพาะทาง ความร่วมมือดังกล่าวช่วยให้บริษัทสามารถเข้าถึงองค์ความรู้เชิงลึกด้านพฤติกรรมผู้บริโภคในตลาดญี่ปุ่น ซึ่งนิยมเลือกใช้น้ำมันพืชหลายชนิดผสมผสานกัน รวมถึงองค์ความรู้ด้านเทคนิคเกี่ยวกับคุณสมบัติของน้ำมันสำหรับการทอด การเพิ่มความกรอบ และการใช้งานร่วมกับเนื้อสัตว์ประเภทต่าง ๆ ทั้งนี้ บริษัทมีแผนดำเนินการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ร่วมกับพันธมิตรจากประเทศญี่ปุ่น เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์น้ำมันพืชรูปแบบใหม่ที่ตอบโจทย์ตลาดระดับพรีเมียม ทั้งในประเทศและต่างประเทศ

นายกีรติ ไชยะกุล ผู้อำนวยการอาวุโสสายงานบัญชีและการเงิน PCE เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานทางการเงินในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา บริษัทมีรายได้รวมจำนวน 23,610 ล้านบาท ซึ่งเป็นการเติบโตที่เป็นไปตามแผนที่ได้สื่อสารไว้กับนักลงทุน โดยคาดว่าภายในสิ้นปีปัจจุบัน บริษัทจะสามารถสร้างรายได้รวมได้ในระดับประมาณ 30,000 ล้านบาทตามเป้าหมายที่กำหนดไว้

อย่างไรก็ตาม กำไรสุทธิของบริษัทในช่วงดังกล่าวมีการชะลอตัวลงเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า เนื่องจากได้รับผลกระทบจากความผันผวนของราคาตลาดโลก โดยเฉพาะผลกระทบจากนโยบายด้านภาษีของสหรัฐอเมริกา ซึ่งส่งผลต่อเสถียรภาพของราคาน้ำมันปาล์มในตลาดโลก ประกอบกับผลขาดทุนจากสต็อกสินค้าคงคลังในไตรมาสที่ 1 คิดเป็นมูลค่าประมาณ 70–80 ล้านบาท ส่งผลลบต่อผลประกอบการในช่วงต้นปี บริษัทจึงได้ดำเนินการปรับกลยุทธ์ด้านการบริหารความเสี่ยงอย่างรอบด้าน ทั้งการเร่งรอบการหมุนเวียนสินค้าคงคลัง และการลดสัดส่วนการจัดซื้อวัตถุดิบจากภายนอก โดยหันมาใช้วัตถุดิบที่บริษัทสามารถสกัดได้เองมากขึ้น เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการควบคุมต้นทุนให้สอดคล้องกับแนวทางที่ฝ่ายปฏิบัติการได้ดำเนินการไว้

สำหรับประมาณการผลการดำเนินงานในปี 2569 บริษัทคาดว่ารายได้จะเติบโต 10–15% โดยตั้งเป้ารายได้รวมไว้ 31,000–34,000 ล้านบาท ปริมาณการจำหน่ายน้ำมันปาล์มดิบ  CPO คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 500,000–520,000 ตัน ซึ่งจะเป็นระดับสูงสุดใหม่ตั้งแต่ก่อตั้งบริษัท ขณะที่ผลิตภัณฑ์ RD-PKO หรือน้ำมันเมล็ดในปาล์มกึ่งบริสุทธิ์ ซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญสำหรับอุตสาหกรรมโอเลโอเคมิคอลและอุตสาหกรรมช็อกโกแลต บริษัทตั้งเป้าปริมาณการจำหน่ายไว้ที่ 50,000–53,000 ตันในปีถัดไป

นอกจากนี้ บริษัทมีการดำเนินธุรกิจค้ากะลาปาล์มทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยในปีปัจจุบันคาดว่าจะมียอดจำหน่ายประมาณ 75,000 ตัน ซึ่งถือเป็นปีที่กลับมาดำเนินธุรกิจในส่วนนี้อย่างเต็มรูปแบบอีกครั้ง จากความต้องการของตลาดต่างประเทศที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะประเทศญี่ปุ่นซึ่งให้ความสำคัญกับมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) หากเป็นไปตามแผน บริษัทคาดว่าจะสามารถเพิ่มปริมาณการส่งออกกะลาปาล์มเป็นประมาณ 110,000–120,000 ตันในปี 2569 โดยจะใช้ประโยชน์จากท่าเรือและระบบโลจิสติกส์ของบริษัทอย่างเต็มศักยภาพ

ด้านแผนการลงทุน บริษัทมีโครงการลงทุนสำคัญหลายโครงการในปี 2569 โดยโครงการโรงสกัดเฟส 3 คาดว่าจะใช้งบลงทุนประมาณ 177 ล้านบาท ขณะที่โครงการโรงแยกไขมัน (Fractionation Plant) คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในไตรมาสที่ 3 ของปีหน้า ส่วนโครงการโรงกลั่น (Refinery) และระบบ Washing Oil จะช่วยยกระดับคุณภาพน้ำมันให้เป็นเกรดสูงขึ้น โดยบริษัทได้ร่วมมือกับผู้เชี่ยวชาญจากประเทศญี่ปุ่นในการกำหนดมาตรฐานและสเปกของโรงงานทั้งหมด เมื่อรวมโครงการลงทุนทั้งหมด บริษัทตั้งงบลงทุนในปี 2569 ไว้ประมาณ 600 ล้านบาท โดยประมาณ 80% จะใช้สำหรับการลงทุนในภาคการผลิต และอีก 20% จะใช้เพื่อเสริมศักยภาพด้านซัพพลายเชน อาทิ การจัดซื้อยานพาหนะขนส่ง การขยายพื้นที่จัดเก็บสินค้า และการพัฒนาระบบสนับสนุนต่าง ๆ เพื่อรองรับการเติบโตของปริมาณงานในอนาคต

ในส่วนของโครงสร้างพื้นฐานด้านโลจิสติกส์ บริษัทชี้แจงว่า ปัจจุบันบริษัทมีท่าเรือเป็นของตนเอง ซึ่งได้รับการอนุมัติรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) และใบอนุญาตตามกฎหมายครบถ้วน ส่งผลให้บริษัทมีความได้เปรียบด้าน ESG และสามารถตอบสนองข้อกำหนดของลูกค้าทั้งในประเทศและต่างประเทศได้อย่างครบถ้วน นอกจากนี้ บริษัทมีโครงสร้างซัพพลายเชนครบวงจร ตั้งแต่ท่าเรือ การขนส่งทางบกและทางน้ำ การจัดเก็บสินค้าในรูปแบบคลังของเหลวและคลังสินค้าแห้ง ตลอดจนระบบจัดเก็บวัตถุดิบประเภทต่าง ๆ เช่น ปุ๋ยและสินค้าเกษตรที่เกี่ยวเนื่อง ทำให้ระบบโลจิสติกส์ของบริษัทมีประสิทธิภาพสูงและรองรับการเติบโตในปี 2569 ได้อย่างมั่นคง

ด้านอัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin) บริษัทตั้งเป้าปรับเพิ่มอัตรากำไรจากระดับเฉลี่ยเดิมประมาณ 4–5% เป็นระดับ 5–6% ในปี 2569 และมีโอกาสปรับเพิ่มขึ้นสู่ระดับประมาณ 7% ในระยะยาว หากบริษัทสามารถดำเนินการตามแผนการลงทุนและการจัดโครงสร้างการผลิตภายในช่วง 3 ปีข้างหน้าได้ตามเป้าหมาย ทั้งนี้ การเพิ่มประสิทธิภาพจากโรงงานสกัดและการนำเทคโนโลยีใหม่มาใช้จะเป็นปัจจัยสำคัญในการยกระดับอัตรากำไรของบริษัท

สำหรับแหล่งเงินทุนรองรับแผนการลงทุนในปี 2569 มูลค่าประมาณ 600 ล้านบาท บริษัทมีแผนใช้เงินจากการระดมทุน IPO ที่ยังคงเหลืออยู่ประมาณ 800 ล้านบาท ซึ่งเพียงพอต่อการลงทุนในปีหน้า ส่วนเงินทุนที่เพิ่มเติมจะมาจากการกู้ยืมจากสถาบันการเงิน โดยคาดว่าการกู้เงินใหม่จะอยู่ที่ประมาณ 400 ล้านบาท ทั้งนี้ บริษัทวางแผนใช้เงิน IPO ประมาณ 50–60% ต่อโครงการ และใช้เงินกู้ประมาณ 40% เพื่อรักษาสมดุลของโครงสร้างเงินทุน ปัจจุบันบริษัทมีอัตราหนี้สินต่อทุน (D/E Ratio) อยู่ที่ประมาณ 0.2 เท่า ซึ่งอยู่ในระดับต่ำและยังมีศักยภาพในการก่อหนี้เพิ่มเติมได้อย่างเหมาะสม

ขณะที่กลุ่มผลิตภัณฑ์มูลค่าเพิ่มสูง (High Value Products) บริษัทมีแผนเพิ่มสัดส่วนรายได้และอัตรากำไรจากผลิตภัณฑ์ที่ผ่านกระบวนการแปรรูปเชิงลึก อาทิ น้ำมันบริโภคเกรดพรีเมียม น้ำมันเมล็ดในสำหรับอุตสาหกรรมโอเลโอเคมิคอล และผลิตภัณฑ์เพื่อการส่งออกที่มีมาตรฐาน ESG สูง ซึ่งเป็นตลาดที่มีศักยภาพการเติบโตสูงในปี 2569 และจะเป็นกลุ่มธุรกิจสำคัญที่ช่วยเพิ่มสัดส่วนกำไรของบริษัทในระยะยาว

ปัจจุบันบริษัทมีความจำเป็นต้องจัดซื้อวัตถุดิบจากภายนอกในสัดส่วนประมาณ 75% ของความต้องการทั้งหมด ส่งผลให้ต้นทุนมีความผันผวนตามราคาตลาดโลก บริษัทจึงเดินหน้าลงทุนขยายกำลังการผลิตในโรงงานสกัดเฟส 1 เฟส 2 และเฟส 3 เพื่อเพิ่มสัดส่วนการผลิตวัตถุดิบด้วยตนเอง ซึ่งจะช่วยให้บริษัทสามารถควบคุมต้นทุนและอัตราการได้ผลผลิต (Yield) ได้มากขึ้น โดยตั้งเป้าลดสัดส่วนการจัดซื้อจากภายนอกเหลือประมาณ 25% ในระยะถัดไป ทั้งนี้ การเพิ่มกำลังการสกัดและการแปรรูปจะช่วยลดความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาน้ำมันปาล์มดิบ (CPO) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ขณะที่ด้านการบริหารมาร์จิ้น บริษัทตระหนักถึงความเสี่ยงจากภาวะอุปทานล้นตลาด เนื่องจากปริมาณผลผลิตปาล์มน้ำมันของประเทศมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง บริษัทจึงมุ่งเน้นการสร้างสมดุลด้านอุปสงค์และอุปทาน ควบคู่กับการขยายตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะการผลักดันน้ำมันปาล์มของไทยเข้าสู่ตลาดโลกมากขึ้น เพื่อรองรับการแข่งขันที่มีแนวโน้มรุนแรงขึ้นจากการที่ราคาน้ำมันปาล์มในประเทศมีโอกาสปรับตัวเข้าใกล้ราคาตลาดโลกในอนาคต

เพื่อเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันในระยะยาว บริษัทเห็นความจำเป็นในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ต่อยอด อาทิ กลุ่มโอเลโอเคมิคอล และผลิตภัณฑ์ที่มีอัตรากำไรสูงสำหรับตลาดต่างประเทศ ซึ่งมีมูลค่าตลาดรวมกว่า 12,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐทั่วโลก และยังมีช่องว่างให้ผู้ผลิตไทยสามารถเติบโตได้ โดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวข้องกับเกษตรกรผู้ปลูกปาล์มน้ำมัน ซึ่งจะได้รับประโยชน์จากความต้องการวัตถุดิบที่เพิ่มขึ้นและการพัฒนาพื้นที่เพาะปลูกอย่างยั่งยืน

สำหรับกลุ่มผลิตภัณฑ์พรีเมียม บริษัทมีจุดแข็งด้านการสนับสนุนการตลาดภายในประเทศ เทคโนโลยีการผลิต และช่องทางการจัดจำหน่ายที่มีประสิทธิภาพ โดยตั้งเป้ายอดจำหน่ายผลิตภัณฑ์พรีเมียมในประเทศไทยไว้ที่ประมาณ 20,000–28,000 ตันในปีหน้า ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผลิตภัณฑ์น้ำมันสำหรับอุตสาหกรรมและน้ำมันคุณภาพสูง ทั้งนี้ ผลกระทบต่ออัตรากำไรขั้นต้นโดยรวมอยู่ในระดับจำกัด เนื่องจากบริษัทมุ่งเน้นการเพิ่มปริมาณการจำหน่ายควบคู่กับการรักษาระดับมาร์จิ้น

นอกจากนี้ ผลิตภัณฑ์น้ำมันปาล์มภายใต้แบรนด์ ลินทิพย์ จะเริ่มเข้าสู่ช่องทางค้าปลีกสมัยใหม่ (Modern Trade) ผ่านร้านสะดวกซื้อ 7-Eleven ครอบคลุมประมาณ 15,000 สาขาทั่วประเทศ ซึ่งจะช่วยเพิ่มการเข้าถึงผู้บริโภคและกระจายช่องทางการจัดจำหน่ายอย่างกว้างขวาง จากเดิมที่มุ่งเน้นการจำหน่ายผ่านช่องทางค้าปลีกดั้งเดิมเป็นหลัก

ขณะเดียวกัน กลุ่มผลิตภัณฑ์น้ำมันเมล็ดปาล์ม (CPKO) ยังมีศักยภาพในการเติบโตสูง เนื่องจากสามารถนำไปต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์โอเลโอเคมิคอลและผลิตภัณฑ์มูลค่าเพิ่มอื่น ๆ ได้อีกหลายประเภท โดยบริษัทมีศักยภาพในการจัดหาวัตถุดิบและแปรรูปได้ตั้งแต่ต้นทาง (Sourcing) จึงสามารถตอบสนองความต้องการของตลาดและสร้างรายได้อย่างต่อเนื่องในระยะยาว

Back to top button