
จับตา 4 วิ่งรับอานิสงส์เชิงบวก “ดาต้าเซ็นเตอร์” กระหึ่มไทย 11 บิ๊กโปรเจกต์ 1.8 แสนลบ.
บอร์ดบีโอไอเคาะสนั่น! อนุมัติลงทุนดาต้าเซ็นเตอร์ 11 โปรเจกต์ มูลค่ากว่า 185,000 ล้านบาท ยึดไทยฐานใหญ่ Hyperscale พร้อมดัน FastPass เปิดทางทุนยักษ์ เร่งลงทุนจริงภายใน 6 เดือน ปักหมุดเศรษฐกิจปี 69-70 คึกคัก พร้อมปลดล็อก Direct PPA ฟากโบรกเกอร์ ระบุ กระแสลงทุนดาต้าเซ็นเตอร์เร่งตัวตามการเติบโตของ AI ดันไทยก้าวสู่ศูนย์กลางภูมิภาค ส่งผลบวกหุ้นโครงสร้างพื้นฐานเด่นชัด WHA-AMATA รับดีมานด์ซื้อที่ดินจากผู้ให้บริการดาต้าเซ็นเตอร์รายใหญ่ ขณะที่ GULF-BGRIM-WHAUP ขานรับปริมาณใช้ไฟฟ้าเพิ่มขึ้น
นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า วันที่ 11 ธ.ค.ที่ผ่านมา ที่ประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บอร์ดบีโอไอ) ที่มีนายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธาน ได้อนุมัติโครงการลงทุนมูลค่ารวม 240,000 ล้านบาท โดยส่วนใหญ่เป็นกิจการดาต้าเซ็นเตอร์ 11 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 184,740 ล้านบาท ประกอบด้วย 1) บริษัท เคทู สแทรททิจิค อินฟราสตรัคเจอร์ จำกัด 30,869 ล้านบาท 2) บริษัท จีเอสเอ ดาต้า เซนเตอร์ จำกัด 30,611 ล้านบาท 3) บริษัท ไทย ดีซี วัน จำกัด 22,110 ล้านบาท 4) บริษัท เอสทีคลีนพลาเน็ต จำกัด 20,635 ล้านบาท
5) บริษัท ตง หนาน ดาต้า จำกัด 20,625 ล้านบาท 6) บริษัท เคอเร้นท์ จำกัด 19,773 ล้านบาท 7) บริษัท ทีดี ดาต้า อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด 13,000 ล้านบาท 8) บริษัท เอสทีที จีดีซี จำกัด 9,348 ล้านบาท 9) บริษัท ไพรม์ เมกะวัตต์ จำกัด 7,378 ล้านบาท 10) บริษัท ดาเรีย ดาต้า เซ็นเตอร์ แอนด์ คลาวด์ เซอร์วิสเซส จำกัด 6,594 ล้านบาท 11) บริษัท สมาร์ท เมกะวัตต์ จำกัด 3,797 ล้านบาท
นอกจากนี้ บอร์ดบีโอไอ ได้คัดเลือกโครงการที่ยื่นคำขอรับการส่งเสริมการลงทุนที่เข้าสู่กลไก Thailand FastPass เป็นล็อตแรกจำนวน 16 โครงการ โดยเป็นโครงการขนาดใหญ่ที่มีเงินลงทุนมากกว่า 1,000 ล้านบาท อยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายใช้เทคโนโลยีขั้นสูง และสร้างประโยชน์อย่างมีนัยสำคัญต่อเศรษฐกิจ ได้แก่ ดาต้าเซ็นเตอร์ระดับ Hyperscale บริษัท ซีนิท ดาต้า เซ็นเตอร์ แอนด์ คลาวด์ เซอร์วิสเซส จำกัด และบริษัท ตง หนาน ดาต้า จำกัด
ทั้งนี้บีโอไอกำหนดให้โครงการที่ได้รับบัตร Thailand FastPass ต้องมีการลงทุนจริงไม่น้อยกว่า 20% ของมูลค่าการลงทุนรวมภายใน 6 เดือน นับจากวันที่ได้รับบัตร เพื่อเร่งให้เกิดการลงทุนอย่างเป็นรูปธรรม และสามารถวัดผลได้ชัดเจน และบอร์ดบีโอไอจะทยอยพิจารณาคัดเลือกโครงการเพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง เพื่อผลักดันให้เกิดการลงทุนจริง และสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจไทยช่วงปี 2569-2570
สำหรับการแก้ไขปัญหาด้านการลงทุน 3 ด้าน ได้แก่ ไฟฟ้า การจัดหาพื้นที่สำหรับการลงทุน วีซ่าและใบอนุญาต ทำงาน เพื่อปลดล็อกโครงการลงทุน 80 โครงการ มูลค่า 4.8 แสนล้านบาท บีโอไอได้เร่งดำเนินการหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
1) ด้านไฟฟ้า ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2568 มีมติให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย สามารถจำหน่ายไฟฟ้าโดยตรงให้แก่ผู้ให้บริการดาต้าเซ็นเตอร์ ที่มีความต้องการใช้ไฟฟ้าตั้งแต่ 200 เมกะวัตต์ขึ้นไป ขณะนี้อยู่ระหว่างการแก้ไขพระราชกฤษฎีกากำหนดผู้ใช้พลังงานไฟฟ้า
นอกจากนี้ เรื่องพลังงานสะอาด สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) เตรียมเสนอหลักเกณฑ์และโครงสร้างราคาการซื้อขายพลังงานไฟฟ้าโดยตรง (Direct Power Purchase Agreement: Direct PPA) ต่อ กพช.ภายในเดือนธันวาคมนี้ สำหรับการบริการไฟฟ้าสีเขียว (Utility Green Tariff 2: UGT2) สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) เตรียมประกาศอัตราค่าบริการให้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2569 เป็นต้นไป
2) ด้านการจัดหาพื้นที่สำหรับการลงทุน บีโอไอได้ประสานความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อเร่งรัดการพิจารณาพื้นที่นิคมอุตสาหกรรม และการจัดทำผังเมืองให้รองรับความต้องการลงทุนระลอกใหม่ แบ่งเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มแรก การกำหนดแนวทางปรับปรุงผังเมือง เพื่อเพิ่มพื้นที่รองรับนิคมอุตสาหกรรม จะดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในเดือนธันวาคม 2568 กลุ่มที่สอง การจัดทำแนวทางปฏิบัติเพื่อเตรียมพื้นที่ก่อสร้างล่วงหน้าก่อนได้รับการอนุมัติรายงาน EIA คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในเดือนมกราคม 2569 กลุ่มที่สาม การเร่งรัดแก้ไขปัญหาให้โครงการที่อยู่ระหว่างการพิจารณาอนุญาตเปลี่ยนแปลงสภาพที่ดินสาธารณะ จำนวน 27 โครงการ มีเป้าหมายให้แล้วเสร็จภายในเดือนมีนาคม 2569
3) ด้านวีซ่าและใบอนุญาตทำงาน บีโอไอได้จัดส่งรายชื่อนักลงทุนกลุ่มเป้าหมายให้กรมการกงสุลแล้ว เพื่อเร่งรัดการออกวีซ่าเป็นกรณีพิเศษ
7 หุ้นรับอานิสงส์ใหญ่
นายกรภัทร วรเชษฐ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ หัวหน้าสายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า แนวโน้มการลงทุนดาต้าเซ็นเตอร์ (Data Center) ในประเทศไทย กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว จากความต้องการใช้พลังประมวลผลและพื้นที่รองรับ AI ที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง กลายเป็นเมกะเทรนด์ใหม่ของเศรษฐกิจไทย ช่วง 3-5 ปีข้างหน้า และเป็นแรงผลักดันสำคัญต่อหุ้นในกลุ่มนิคมอุตสาหกรรมและโครงสร้างพื้นฐานอย่างต่อเนื่อง
สำหรับภาคธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยี (Infra Tech) ของประเทศไทยเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการลงทุนในธุรกิจดาต้าเซ็นเตอร์ หลังพบว่า ปี 2568 (ณ วันที่ 11 ธันวาคม) มีมูลค่าการลงทุนรวมสูงถึงประมาณ 578,085 ล้านบาท เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากช่วงก่อนปี 2568 ที่มีมูลค่ารวมราว 375,230 ล้านบาท
โดยข้อมูลการลงทุน ระบุว่าก่อนปี 2568 นักลงทุนรายใหญ่ส่วนใหญ่มาจากสหรัฐอเมริกา สิงคโปร์ และพันธมิตรข้ามชาติ อาทิ Amazon Web Services (AWS) มีมูลค่าการลงทุนสูงสุดถึง 190,000 ล้านบาท ตามมาด้วย Google มูลค่า 36,000 ล้านบาท และ Microsoft ประมาณ 30,000 ล้านบาท สะท้อนความเชื่อมั่นของบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีต่อศักยภาพของไทย ในฐานะศูนย์กลางดิจิทัลของภูมิภาค
ขณะเดียวกัน ปี 2568 การลงทุนใหม่ยังเร่งตัวอย่างชัดเจน โดยนักลงทุนจากจีน เข้ามามีบทบาทสำคัญมากขึ้น นำโดย ByteDance (TikTok) ที่มีมูลค่าการลงทุนสูงถึง 126,000 ล้านบาท และ Beijing Haoyang Cloud Data Technology มูลค่ากว่า 72,670 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังมีการลงทุนจากสิงคโปร์ ญี่ปุ่น มาเลเซีย และสหรัฐอเมริกาอย่างต่อเนื่อง
สำหรับผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องกับประเทศไทยโดยตรง พบว่า มีหลายโครงการที่มีมูลค่าสูง เช่น 1) Zenith Data Center (ไทย) มูลค่าประมาณ 54,900 ล้านบาท, 2) บริษัท จีเอสเอ ดาต้า เซนเตอร์ จำกัด (GULF-Singtel-AIS) มูลค่ากว่า 30,611 ล้านบาท รวมถึงโครงการจากบริษัทไทยและพันธมิตรอีกหลายรายในกลุ่มพลังงานและโครงสร้างพื้นฐาน
ประเด็นดังกล่าวส่งผลเชิงบวกต่อหุ้นหลายกลุ่ม โดยเฉพาะกลุ่มนิคมอุตสาหกรรมและกลุ่มพลังงานไฟฟ้า สำหรับหุ้นเด่นที่ได้รับประโยชน์โดยตรง ได้แก่ บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ WHA, บริษัท อมตะ คอร์ปอเรชัน จำกัด (มหาชน) หรือ AMATA และ บริษัท กัลฟ์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF
โดย WHA ได้ประโยชน์จากดีมานด์ซื้อที่ดินเชิงอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น จากผู้ให้บริการดาต้าเซ็นเตอร์ระดับโลก หลายโครงการต้องการพื้นที่ขนาดใหญ่ พร้อมสาธารณูปโภคครบ ทำให้ยอดขายที่ดินและการให้บริการโครงสร้างพื้นฐานมีแนวโน้มเติบโตแรง นอกจากนี้ WHA มีระบบไฟฟ้า-น้ำ-ดาต้าคอมมูนิเคชั่นภายในนิคมฯ ที่ตอบโจทย์ผู้ประกอบการด้านเทคโนโลยีโดยตรง
ส่วน AMATA ถือเป็นอีกหนึ่งนิคมขนาดใหญ่ที่มีความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐานและพื้นที่รองรับโครงการไฮเทคระดับภูมิภาค นักลงทุนรายใหญ่กำลังสนใจย้ายฐานหรือเพิ่มไลน์การลงทุน เพราะความได้เปรียบด้านภูมิรัฐศาสตร์ และค่าไฟที่มีเสถียรภาพ ทำให้ AMATA มีโอกาสเห็นยอดขายที่ดินและดีลเช่าโรงงานสำเร็จรูปเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
ขณะที่ GULF ได้อานิสงส์โดยตรงจากดีมานด์ไฟฟ้าความหนาแน่นสูง (High-density power) ของดาต้าเซ็นเตอร์ที่ต้องใช้ไฟฟ้าจำนวนมาก และต้องการระบบที่มีความเสถียรสูง บริษัทมีโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ และโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานที่รองรับโหลดพิเศษได้ดี รวมถึงการลงทุนในระบบไฟฟ้าอัจฉริยะและการเชื่อมต่อโครงข่าย ทำให้ GULF เป็นหนึ่งในผู้เล่นที่ถูกเลือกในหลายดีล
บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า โครงการลงทุนดาต้าเซ็นเตอร์เฟสแรก หลังได้รับการอนุมัติส่งเสริมการลงทุนจากบีโอไอ จะส่งผลบวกโดยตรงต่อหลายอุตสาหกรรมสำคัญ ได้แก่ กลุ่มนิคมอุตสาหกรรม อาทิ บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ WHA บริษัท อมตะ คอร์ปอเรชัน จำกัด (มหาชน) หรือ AMATA และกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง อาทิ บริษัท สเตคอน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ STECON
กลุ่มจำหน่ายสาธารณูปโภคทั้งน้ำและไฟฟ้า อาทิ บริษัท ดับบลิวเอชเอ ยูทิลิตี้ส์ แอนด์ พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ WHAUP และ บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BGRIM
“ความต้องการของลูกค้าดาต้าเซ็นเตอร์ในไทยเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง และปัจจุบันไทยถือว่าอยู่ในสถานะศูนย์กลางดาต้าเซ็นเตอร์ของภูมิภาค”
สำหรับเฟสต่อไปของการพัฒนา จะมีการขยับจากดาต้าเซ็นเตอร์สู่ศูนย์ปัญญาประดิษฐ์ (AI Center) เน้นการสร้าง “มูลค่าเพิ่ม” ผ่านห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) โดยเฉพาะระบบพลังงาน (Power Supply) จะช่วยผลักดันให้เกิดการผลิตอุปกรณ์และชิ้นส่วนประกอบดาต้าเซ็นเตอร์ภายในประเทศมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาไทยยังไม่มีข้อบังคับเกี่ยวกับการใช้สินค้าที่ผลิตในประเทศ โดยนักลงทุนส่วนใหญ่เลือกนำเข้าจากต่างประเทศ เช่น สายไฟหรืออุปกรณ์โครงสร้างพื้นฐานอื่น ๆ แต่หากมีมาตรการส่งเสริม Local Content (LC) หรือ สัดส่วนวัตถุดิบและมูลค่าที่ผลิตในประเทศ ก็จะช่วยสนับสนุนอุตสาหกรรมท้องถิ่นอย่างมีนัยสำคัญ
ทั้งนี้หากอุปกรณ์ดาต้าเซ็นเตอร์ถูกผลิตในไทยมากขึ้น ถือว่าเป็นปัจจัยบวกสำคัญต่อบริษัทเดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ DELTA จากเดิมที่พึ่งพาวัตถุดิบนำเข้าจะสามารถย้ายฐานการผลิตมาใช้ชิ้นส่วนในประเทศเพิ่มขึ้น ทำให้ต้นทุนและประสิทธิภาพการผลิตดีขึ้นตามลำดับ

