เจาะลึกวิกฤต IPO ตลท. ชี้ 4 ปัจจัยกดดันหุ้นต่ำจอง คาดตลาดฟื้นจริงปลายปี 69

ตลท. เร่งสร้างความเชื่อมั่น กาง 4 ปัจจัยชี้ชะตาหุ้น IPO หวังนักลงทุนเข้าใจกลไกตลาด ย้ำแม้ระยะสั้นผันผวนแต่เป็นจังหวะสะสมหุ้นพื้นฐานดีปันผลสูง พร้อมส่งสัญญาณบวกเศรษฐกิจฟื้น-ดอกเบี้ยขาลง หนุนตลาดทุนไทยกลับมาคึกคักเต็มสูบช่วงปลายปี 69


นายสรวิศ ไกรฤกษ์ รองผู้จัดการสายงานผู้ออกหลักทรัพย์และสายงานการตลาด ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า วันนี้ (15 ธันวาคม 2568) ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยจัดงานเสวนาด้านตลาดทุน “SET Zoom In” เพื่อเจาะลึกกระบวนการและปัจจัยที่มีผลต่อราคาหุ้นเสนอขายต่อประชาชนครั้งแรก (IPO) ภายหลังภาพรวมการเสนอขายหุ้นในช่วงที่ผ่านมา พบว่ามีบริษัทเข้าจดทะเบียนรวม 17 บริษัท โดยมีหุ้นที่ราคาเทรดวันแรกหลุดจอง 7 บริษัท หรือคิดเป็นสัดส่วนราว 42% ของหุ้น IPO ทั้งหมด ซึ่งถือเป็นระดับที่ค่อนข้างสูง สะท้อนแรงกดดันต่อราคาหุ้น IPO ในวันแรกของการซื้อขาย

ดังนั้นเพื่อสะท้อนมุมมองราคาหุ้น IPO วันแรกขึ้นหรือลง ทางตลาดหลักทรัพย์ได้เชิญ นายสมศักดิ์ สิริชัยนฤมิตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสเซท โปร แมนเนจเมนท์ จำกัด หรือ APM ในฐานะประธานชมรมวาณิธนกิจ (IB Club) และ นายทินพันธุ์ วังหลี รองกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ร่วมแลกเปลี่ยนมุมมองราคาหุ้น IPO วันแรกขึ้นหรือลง ไม่ได้ขึ้นอยู่กับ “ราคา IPO” เพียงอย่างเดียว แต่มีองค์ประกอบหลัก 4 ประการ ดังนี้

1.กระบวนการกำหนดราคา การกำหนดราคา IPO เริ่มจากการประเมินมูลค่าโดยที่ปรึกษาทางการเงิน ผ่านวิธีการทางการเงินหลายรูปแบบ เช่น การเปรียบเทียบกับบริษัทในอุตสาหกรรมเดียวกัน การประเมินมูลค่าในอนาคตด้วยวิธีคิดลดกระแสเงินสด รวมถึงการพิจารณาราคาตลาด

ทั้งนี้ราคาที่ได้จากการประเมินจะถูกนำไปซาวด์ความต้องการซื้อของนักลงทุน หรือทำ Book Building โดยเฉพาะนักลงทุนสถาบัน ซึ่งมักต่อรองราคาให้ต่ำกว่าราคาเหมาะสมตามทฤษฎี เพื่อให้เกิดอุปสงค์ส่วนเกิน หลังจาก FA ได้ทำการประเมินและกำหนดช่วงราคาตามทฤษฎีแล้ว บทบาทในการกำหนดราคาจะถูกส่งต่อให้นักวิเคราะห์ (Underwriter) ซึ่งทำหน้าที่เสมือนตัวแทนของนักลงทุน เพื่อออกบทวิเคราะห์อีกชุดหนึ่งจากมุมมองของนักลงทุน แต่หลักการสำคัญของราคา IPO ที่ดีคือการกำหนดราคาที่ทำให้เกิด อุปสงค์ส่วนเกิน (Demand Power Over Supply) เพื่อให้มั่นใจว่าราคาจะไม่ตกหลังเข้าตลาด

2.การกระจายหุ้นการจัดสรรหุ้นถือเป็นปัจจัยสำคัญไม่แพ้การกำหนดราคา โดยต้องกระจายหุ้นให้เหมาะสมระหว่างนักลงทุนที่ถือระยะสั้นและถือระยะยาว ทั้งในกลุ่มสถาบันและรายย่อย เป้าหมายคือให้มีดีมานด์ส่วนเกินเพื่อรองรับแรงขายหลังเข้าซื้อขาย หากหุ้นกระจุกตัวอยู่กับผู้ถือครองเพียงไม่กี่ราย ตลาดรองจะมีสภาพคล่องบางมาก และการขายหุ้นเพียงเล็กน้อยก็อาจกดราคาหุ้นลงได้ง่าย

3.สภาวะตลาดและสภาพคล่อง ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลกระทบอย่างมากต่อราคาหุ้น ในช่วงที่ตลาดซบเซา สภาพคล่องต่ำ ทำให้ปริมาณการซื้อขายเบาบางมาก, ในอดีต Turnover (รอบหมุน) ในวันแรกของการซื้อขายอาจสูงถึง 3-5 เท่า แต่ในช่วงปัจจุบันอาจต่ำกว่า 1 เท่า แสดงให้เห็นถึงความน่าสนใจที่ลดลงส ภาวะตลาดที่ดังกล่าวทำให้นักลงทุนเกิดความกังวล การยอมขายขาดทุนตั้งแต่เปิดตลาด (คำสั่ง ATO) แม้จะขาดทุนเล็กน้อย เช่น 10-20% ดีกว่าการถือต่อไปแล้วขาดทุนหนักกว่า 40% จึงเกิดขึ้นได้ ซึ่งเป็นเรื่องของอารมณ์ตลาดมากกว่าพื้นฐานของบริษัท

4) พื้นฐานของบริษัทแม้พื้นฐานของกิจการจะเป็นปัจจัยสำคัญในระยะยาว แต่ในภาวะตลาดซบเซาและสภาพคล่องต่ำ หุ้นที่มีพื้นฐานดีก็อาจถูกกดดันด้านราคาได้ในระยะสั้น อย่างไรก็ตาม นักลงทุนที่มองพื้นฐานและสามารถถือยาวได้จะช่วยสร้างเสถียรภาพให้กับหุ้นในระยะต่อไป

ด้านนายนายทินพันธุ์ วังหลี รองกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ระบุว่า การเปลี่ยนผ่านจากกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) ไปสู่กองทุนรวมเพื่อความยั่งยืน (ESG) ส่งผลโดยตรงต่อความแข็งแกร่งของนักลงทุนสถาบันและสภาพคล่องในตลาดหุ้นไทย

ในอดีตก่อนเกิดการระบาดของโควิด-19 และในช่วงที่อัตราดอกเบี้ยทั่วโลกอยู่ในระดับต่ำ ตลาดทุนไทยได้รับแรงหนุนทั้งจากเงินทุนต่างประเทศ และเงินลงทุนใหม่จากกองทุน LTF ซึ่งมีการลงทุนต่อเนื่องทุกปี ทำให้นักลงทุนสถาบันในประเทศมีเงินใหม่ไหลเข้าสู่ตลาดหุ้นอย่างสม่ำเสมอ และช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้ตลาดโดยรวม

อย่างไรก็ตามหลังจาก LTF ครบกำหนดอายุผู้ลงทุนจำนวนมากได้ทยอยขายหน่วยลงทุนออกเกือบทั้งหมด ขณะที่เงินลงทุนในกองทุน ESG ซึ่งเข้ามาแทน LTF ส่วนใหญ่กลับไหลไปยังตราสารหนี้และการลงทุนต่างประเทศมากกว่าหุ้นไทย ส่งผลให้เม็ดเงินใหม่ที่เข้าสู่ตลาดทุนในประเทศลดลงอย่างมีนัยสำคัญ และทำให้นักลงทุนสถาบันอ่อนแรงลง

เมื่อสถานการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นพร้อมกับแรงขายสุทธิของนักลงทุนต่างชาติสะสมกว่า 400,000 ล้านบาท จึงทำให้ทั้งสองขาหลักของตลาดทุนไทย ได้แก่ นักลงทุนสถาบันในประเทศและนักลงทุนต่างประเทศ อ่อนตัวลงพร้อมกัน และเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้สภาพคล่องในตลาดหุ้นไทยลดลงอย่างมากในช่วงที่ผ่านมา

นายนายทินพันธุ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า  ปัญหาสภาพคล่องในตลาดหุ้นไทยยังคงเป็นแรงกดดันต่อการเสนอขายหุ้นต่อประชาชนครั้งแรก (IPO) ในช่วงครึ่งแรกของปี 2569 โดยเฉพาะจากการที่นักลงทุนสถาบันยังขาดเงินใหม่เข้ามาในระบบ ทำให้การลงทุนต้องอาศัยการขายสลับซื้อภายในตลาดที่มีขนาดเล็กลง

อย่างไรก็ตามมุมมองต่อทิศทางครึ่งหลังของปี 2569 เริ่มเป็นบวกมากขึ้น หากธนาคารกลางสหรัฐปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติมอีก 1–2 ครั้ง ซึ่งอาจเปิดหน้าต่างให้เงินทุนไหลกลับเข้ามาช่วงกลางถึงปลายปี ขณะที่ไทม์ไลน์การยื่นไฟลิ่ง IPO มักเกิดหลังงบปีออกช่วงเดือนมีนาคม–เมษายน และการขาย IPO จริงมักอยู่ช่วงปลายปี

ทั้งนี้ยอมรับว่าไม่มีฝ่ายใดต้องการเห็นหุ้น IPO ต่ำกว่าราคาจอง แต่ในสภาวะที่ “เค้กตลาด” เล็กลง นักลงทุนสถาบันจำเป็นต้องเลือกลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่ที่มีความปลอดภัยกว่า และพร้อมขายหุ้นที่มองว่าไม่ตอบโจทย์ เนื่องจากไม่มีเงินใหม่หนุนเหมือนในอดีต ส่งผลให้หุ้นใหม่และหุ้นขนาดเล็กเผชิญแรงกดดันด้านราคา

ทั้งนี้ FA ระบุว่า หากมีมาตรการเสริมความแข็งแกร่งให้สถาบัน เช่น แรงจูงใจด้านกองทุนลดหย่อนภาษีเพิ่มเติม ควบคู่กับทิศทางดอกเบี้ยขาลงและความชัดเจนทางการเมือง ปัญหาที่สะสมในอดีตมีโอกาสคลี่คลาย และกิจกรรม IPO อาจกลับมาคึกคักได้ในช่วงปลายปี 2569

นายสรวิศ กล่าวอีกว่า มาตรการที่เกี่ยวข้องกับสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ได้ถูกนำมาพิจารณาและดำเนินการเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการดึงดูดบริษัทใหม่ ๆ ให้เข้ามาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ไทย โดยเรียกมาตรการนี้ว่า “BOI IPO” มีจุดเริ่มต้นจากข้อสังเกตว่า ในช่วงที่ผ่านมา มีการยื่นคำขอรับการส่งเสริมการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) เข้ามาในประเทศไทยจำนวนมาก โดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับ New Economy ซึ่งมีแนวโน้มสูงแนวคิดนี้คือการหารือกับสำนักงาน BOI ว่าจะทำอย่างไรเพื่อสนับสนุนให้บริษัทเหล่านี้เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์

ส่วนประเด็นการปรับเปลี่ยนเกณฑ์การเข้าตลาดบางประการ ซึ่งส่งผลให้บริษัทบางกลุ่มเข้าจดทะเบียนได้ยากขึ้น โดยเฉพาะเงื่อนไขเชิงคุณภาพด้านมาตรฐานบัญชีที่มีความเข้มงวดมากขึ้น ส่งผลให้บริษัทต้องใช้เวลาในการเตรียมความพร้อมนานกว่าเดิม

ทั้งนี้ยอมรับว่าการเปลี่ยนผ่านจากการจัดทำมาตรฐานบัญชีช่วงสั้นเป็นการจัดทำ “มาตรฐานแบบชุดใหญ่” เป็นระยะเวลาต่อเนื่อง 3 ปี จากเดิมที่อาจใช้ข้อมูล 2 ปี ทำให้กระบวนการเตรียมตัวเข้าตลาดต้องยาวขึ้น

อย่างไรก็ตามการปรับเกณฑ์ดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อยกระดับคุณภาพของบริษัทจดทะเบียน และเพิ่มความเชื่อมั่นต่อระบบตลาดทุนในระยะยาว และการเปลี่ยนเกณฑ์ไม่ได้เป็นเหตุหลักที่ทำให้จำนวนการเสนอขายหุ้นต่อประชาชนครั้งแรก (IPO) ลดลง เนื่องจากยังมีปัจจัยอื่นประกอบร่วมทั้งภาวะตลาด ความเชื่อมั่นของนักลงทุน และปัจจัยเศรษฐกิจโดยรวมด้วย

นายสมศักดิ์ สิริชัยนฤมิตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสเซท โปร แมนเนจเมนท์ จำกัด ในฐานะประธานชมรมวาณิธนกิจ (IB Club) เปิดเผยว่า การชะลอการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ของบริษัทต่าง ๆ ในช่วงที่ผ่านมา เป็นผลจากหลายปัจจัยประกอบกัน โดยเฉพาะความผันผวนของภาวะตลาดและหน้าต่างการเสนอขายหุ้น IPO ที่เปิดเพียงช่วงสั้น ทำให้ผู้ออกหุ้นต้องเผชิญความไม่แน่นอนด้านจังหวะการขาย

ขณะเดียวกัน กระบวนการเตรียมความพร้อมของผู้ออกหุ้นต้องใช้ระยะเวลานานถึง 2–4 ปี ขณะที่ขั้นตอนการพิจารณาหลังการยื่นไฟลิ่งใช้เวลาประมาณ 5–6 เดือน ส่งผลให้บริษัทมีช่วงเวลาตัดสินใจขายหุ้นจริงเพียงราว 6 เดือนถึง 1 ปีหลังได้รับอนุญาต หากจังหวะตลาดไม่เอื้ออำนวย การตัดสินใจขายหุ้นในราคาที่ต่ำกว่าที่คาดอาจกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้ถือหุ้น แม้พื้นฐานธุรกิจจะยังเติบโตอย่างต่อเนื่องก็ตาม

ในช่วงที่ผ่านมาแวลูเอชันของตลาดปรับลดลงอย่างมีนัยสำคัญ จากระดับอัตราส่วนราคาต่อกำไร (P/E) ที่เคยอยู่ราว 18–20 เท่า ลดลงเหลือเพียงประมาณ 10 เท่า ส่งผลให้การระดมทุนผ่าน IPO ไม่คุ้มค่าเมื่อเทียบกับต้นทุน โดยเฉพาะบริษัทขนาดกลางและขนาดเล็กที่มีต้นทุนการระดมทุนอยู่ราว 7–10% ของเงินที่ได้รับ และบางกรณีอาจสูงถึงประมาณ 20% จนทำให้ผู้ออกหุ้นมองว่าการกู้ยืมอาจเป็นทางเลือกที่เหมาะสมกว่า

ทั้งนี้ ราคา IPO ไม่ได้ขึ้นอยู่กับปัจจัยพื้นฐานของกิจการเพียงอย่างเดียว แต่ยังขึ้นอยู่กับอารมณ์ตลาดและจังหวะเวลาเป็นสำคัญ ภายใต้เกณฑ์ด้านบัญชีและการตรวจสอบที่เข้มงวดมากขึ้น ส่งผลให้หลายบริษัทเลือกชะลอการยื่นไฟลิ่ง หรือรอใช้งบการเงินประจำปีแทนงบไตรมาส เพื่อสร้างความเชื่อมั่นด้านมาตรฐานบัญชีและระบบกำกับดูแล

สำหรับสถานการณ์ปัจจุบัน ประเมินว่าหุ้น IPO ที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยและตลาด mai มีจำนวนไม่เกิน 5–7 บริษัท และหลังจากดีลชุดนี้แล้ว คาดว่ากิจกรรม IPO ใหม่จะกลับมาคึกคักได้เร็วที่สุดในช่วงปลายปี 2569 เมื่อสภาวะตลาดและความเชื่อมั่นของนักลงทุนปรับตัวดีขึ้น

นายสมศักดิ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ภาพรวมการเสนอขายหุ้นต่อประชาชนครั้งแรกในปี 2568 ยังคงอยู่ในระดับชะลอตัว โดยตลอดทั้งปีมีบริษัทเข้าระดมทุนเพียงราว 17–18 บริษัทเท่านั้น สะท้อนบรรยากาศการลงทุนที่ยังไม่เอื้ออำนวย จากปริมาณและมูลค่าการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ที่อยู่ในระดับต่ำ ประกอบกับราคาหุ้นส่วนใหญ่ปรับตัวลดลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงมากกว่า 10% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า

อย่างไรก็ตามในมุมมองการลงทุน แนะนำให้นักลงทุนพิจารณาหุ้น IPO ในกรอบระยะกลางถึงยาวมากขึ้น เนื่องจากหุ้นที่เข้าซื้อขายแล้ว ไม่ว่าราคาจะสูงหรือต่ำกว่าราคาเสนอขาย อาจเป็นโอกาสในการคัดเลือกลงทุน หากบริษัทมีพื้นฐานธุรกิจแข็งแกร่งและมูลค่าหุ้นอยู่ในระดับเหมาะสม

สำหรับแนวโน้มตลาดในระยะถัดไป ความเชื่อมั่นอาจเริ่มฟื้นตัวจากปัจจัยภายนอก โดยเฉพาะทิศทางอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐที่มีโอกาสปรับลดเพิ่มเติม ซึ่งอาจเอื้อให้เงินทุนไหลกลับเข้าสู่ตลาดเกิดใหม่ รวมถึงตลาดหุ้นไทย ประกอบกับความคาดหวังต่อการเลือกตั้งในช่วงต้นปี 2569 ที่อาจช่วยเสริมเสถียรภาพทางการเมือง และหนุนความเชื่อมั่นต่อตลาดทุนไทยในระยะต่อไป

Back to top button