11 หุ้น mai ราคาสุดทะลุทะลวงพื้นฐานอย่างแจ่ม-กำไรอย่างแจ๋ว!

เปิดชื่อ 11 หุ้น mai ดาวเด่น ราคากระฉูดทะลุฟ้า กวาดรีเทิร์นเกิน 50% ภายใน 9 เดือน ด้านปัจจัยพื้นฐานยังแกร่ง แนวโน้มผลประกอบการโดดเด่น


“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ได้ทำการราคาหุ้นบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในตลาด mai โดยใช้เกณฑ์คัดเลือกจากราคาหุ้นที่มีการปรับตัวขึ้นเกิน 50% ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2559 นับตั้งแต่วันที่ 30 ธ.ค.58 จนถึงวันที่ 30 ก.ย.59 ซึ่งได้คัดเลือกบริษัทจดทะเบียนที่มีสภาพคล่องมาทั้งหมด 11 บจ. ดังนี้

ตารางแสดงการเปลี่ยนแปลงของราคาหุ้น

 

 

อันดับที่ 1 บริษัท มาสเตอร์คูล อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ KOOL ราคาช่วง 9 เดือนปรับตัวเพิ่มขึ้น 348% จากราคา ณ วันที่ 30 ธ.ค. 58 อยู่ที่ระดับ 1.25 บาท บวก 4.35 บาท มาอยู่ที่ 5.6 บาท ณ วันที่ 30 ก.ย.59

ขณะที่ KOOL ปรับแผนธุรกิจในช่วงครึ่งปีหลัง โดยได้ทำการปรับเป้าหมายรายได้ปี 59 ใหม่ จากเดิมคาดการณ์ในช่วงต้นปีจะมีอัตราเติบโตของรายได้เพิ่มขึ้นประมาณ 40% เป็นเพิ่มขึ้น 50% จากรายได้ในปีที่ผ่านมา และปรับประมาณการอัตรากำไรสุทธิสูงขึ้นมาอยู่ที่ประมาณ 10% ของรายได้

 

อันดับที่ 2 บริษัท คิวทีซี เอนเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ QTC ราคาช่วง 9 เดือนปรับตัวเพิ่มขึ้น 267% จากราคา ณ วันที่ 30 ธ.ค. 58 อยู่ที่ระดับ 5.10 บาท บวก 13.60 บาท มาอยู่ที่ 18.70 บาท ณ วันที่ 30 ก.ย.59

อย่างไรก็ตาม QTC ได้ปรับลดเป้าหมายรายได้ลงเหลือ 1 พันล้านบาท จากเดิม 1.2 พันล้านบาท เนื่องจากกำลังซื้อของลูกค้าได้รับผลกระทบจากภาวะการชะลอตัวของเศรษฐกิจ รวมทั้งงานโครงการของภาครัฐมีความล่าช้า แต่ในปีหน้าคาดว่ารายได้น่าจะเติบโตไม่ต่ำกว่า 20% หลังจากมีการรับรู้รายได้ธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทน และเชื่อว่ายอดขายน่าจะดีขึ้นตามทิศทางเศรษฐกิจ ซึ่งขณะนี้บริษัทเตรียมเข้าประมูลงานใหม่มูลค่ารวมกว่า 3 พันล้านบาท เพื่อผลักดันมูลค่างานในมือ (backlog) ที่มีกว่า 350 ล้านบาทที่จะรับรู้เป็นรายได้ในปีนี้ทั้งหมด

 

อันดับที่ 3 บริษัท ทีวี ไดเร็ค จำกัด (มหาชน) หรือ TVD ราคาช่วง 9 เดือนปรับตัวเพิ่มขึ้น 100% จากราคา ณ วันที่ 30 ธ.ค. 58 อยู่ที่ระดับ 1.16 บาท บวก 1.16 บาท มาอยู่ที่ 2.32 บาท ณ วันที่ 30 ก.ย.59

ขณะที่ TVD คาดกำไรสุทธิปีนี้จะทำสถิติสูงสุดใหม่ หลังได้ปรับเป้ารายได้เพิ่มเป็น 3.68 พันล้านบาท จากเดิมที่ 3.21 พันล้านบาท เนื่องจากผลประกอบการช่วงที่ผ่านมาเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง และมีแผนเพิ่มรายได้จากธุรกิจดิจิตอลทีวีที่มีความเสถียรและมีคุณภาพมากขึ้น โดยกลุ่มผู้ชมจะเริ่มมีการกระจายตัวไปยังช่องต่างๆ ไม่กระจุกตัวเหมือนที่ผ่านมา ส่งผลให้การขายสินค้าทางทีวีจะขยายตัวเพิ่มขึ้นตามปริมาณมีเดีย

“หลังจากที่เรามีการปรับโครงสร้างต่างๆ ภายในเรียบร้อย และยังได้พันธมิตรใหม่เข้ามาด้วย จะช่วยให้ปีนี้เรามีการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งก็เห็นได้ตั้งแต่ครึ่งปีแรกที่ผ่านมา และเชื่อว่าจะมีการเติบโตได้อย่างต่อเนื่องในช่วงครึ่งปีหลัง แม้ว่าช่วงไตรมาส 3/59 นี้อาจจะไม่เติบโตจากไตรมาส 2/59 แต่อย่างไรก็ตามไตรมาส 4 จะเป็นช่วงที่ดีที่สุดของปีนี้ ยอดขายจะกลับมา ผลประกอบการจะเติบโต”นายทรงพล กล่าว

 

อันดับที่ 4 บริษัท ที.เอ.ซี. คอนซูเมอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ TACC ราคาช่วง 9 เดือนปรับตัวเพิ่มขึ้น 82% จากราคา ณ วันที่ 30 ธ.ค. 58 อยู่ที่ระดับ 4.98 บาท บวก 4.07 บาท มาอยู่ที่ 9.05 บาท ณ วันที่ 30 ก.ย.59

ขณะที่ TACC ตั้งเป้ารายได้ในปี 60-63 จะเติบโตเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 15% ต่อปี จากปีนี้ที่มั่นใจรายได้จะเติบโตตามเป้าหมายที่วางไว้ว่าจะเติบโตไม่ต่ำกว่า 15% หลังจากช่วงครึ่งปีแรกรายได้ขยายตัว 17% จากยอดขายในกัมพูชาและยอดขายเครื่องดื่มใน 7-Eleven ที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ในวันที่ 26 ก.ย.บริษัทจะเริ่มวางจำหน่ายโดนัทสไตล์ญี่ปุ่นรสออริจินอล โดยตั้งเป้ายอดขาย 30,000 ชิ้น/วัน และจะมีการวางจำหน่ายสินค้าลิขสิทธิ์คาแร็คเตอร์ตัวการ์ตูน Sanrio ในวันที่ 29 ก.ย.

 

อันดับที่ 5 บริษัท เอทีพี 30 จำกัด (มหาชน) หรือ ATP30 ราคาช่วง 9 เดือนปรับตัวเพิ่มขึ้น 81% จากราคา ณ วันที่ 30 ธ.ค. 58 อยู่ที่ระดับ 0.95 บาท บวก 0.77 บาท มาอยู่ที่ 1.75 บาท ณ วันที่ 30 ก.ย.59

ขณะที่ ATP30 มั่นใจรายได้ปีนี้เติบโตไม่ต่ำกว่า 15% หรือประมาณ 300 ล้านบาท จากปีก่อนทำได้ 265.97 ล้านบาท หลังได้รับความเชื่อมั่นและความไว้วางใจจากทั้งลูกค้าเก่าและลูกค้าใหม่ ที่เข้ามาใช้บริการเพิ่มมากขึ้น ขณะที่คาดอัตรากำไรขั้นต้นจะอยู่ที่ 25% และอัตรากำไรสุทธิน่าจะทำได้ราว 10% จากการควบคุมต้นทุนค่าบริการได้ดี

 

อย่างไรก็ตามเป็นที่น่าจับตาว่าราคาหุ้นของบจ.ดังกล่าวจะสามารถปรับตัวขึ้นได้อีกหรือไม่ หากผลการดำเนินงานในไตรมาส 3/59 ที่จะทยอยประกาศออกมาเป็นไปในทางที่ดีก็อาจจะส่งผลให้ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นรับข่าวดีได้ แต่หากผลการดำเนินงานลดลงอาจจะยิ่งกระทบต่อราคาหุ้นในด้านลบ เนื่องจากราคาหุ้นปรับตัวขึ้นมามากแล้ว เสี่ยงต่อการถูกขายทำกำไร

 

*ทั้งนี้ข้อมูลที่มีการนำเสนอข้างต้น เป็นเพียงข้อแนะนำจากข้อมูลพื้นฐานเพื่อประกอบการตัดสินใจของนักลงทุนเท่านั้น และมิได้เป็นการชี้นำ หรือเสนอแนะให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ การตัดสินใจซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ ของผู้อ่าน ไม่ว่าจะเกิดจากการอ่านบทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตาม ล้วนเป็นผลจากการใช้วิจารณญาณของผู้อ่าน

Back to top button