สอยยัง! 27 หุ้น SET-mai โชว์งบฯ Q2 “เทิร์นอะราวด์” สุดเจ๋ง

สอยยัง! 27 หุ้น SET-mai โชว์งบฯ Q2 "เทิร์นอะราวด์" สุดเจ๋ง นำทีมโดย PACE,NOBLE,STAR,TTA, RCL,BR,AJ,ITD,HFT,TPOLY,RS,TICON,ECL,BSM,KBS,GRAND, GRAMMY,EE,EIC,JTS,GENCO,PCA,SCI, THANA,BROCK,GTB และ,CEN


ช่วงนี้บริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) และตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ประกาศงบไตรมาส 2/60 เป็นที่เรียบร้อย ดังนั้นครั้งนี้ ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” จึงทำการรวบรวมข้อมูลหุ้นที่ทำผลงานพลิกมีกำไรในงวดดังกล่าวมาเสนอ เนื่องจากหุ้นกลุ่มนี้สามารถกลับมาทำกำไรได้อีกครั้ง ตรงนี้ก็น่าจะเป็นการพลิกฟื้นธุรกิจให้กลับมาสดใสได้อย่างมีนัยสำคัญ

ขณะเดียวกันหุ้นกลุ่มนี้มีแผนงานโดดเด่น อีกทั้งมีบทวิเคราะห์สนับสนุนให้เข้าลงทุน หุ้นกลุ่มนี้ก็น่าจะได้รับความสนใจอีกครั้ง โดยหุ้นที่พลิกมีกำไรได้สดใสมีทั้งหมด 27 ตัว คือ PACE, NOBLE, STAR, TTA,  RCL,BR,AJ,ITD,HFT,TPOLY,RS,TICON,ECL,BSM,KBS,GRAND,GRAMMY,EE,EIC,JTS,GENCO,PCA,SCI,THANA,BROCK,GTB และ CEN ดังตารางประกอบดังนี้

อย่างไรก็ตามการเสนอข้อมูลหุ้นดังกล่าวไม่สามารถนำข้อมูลมาเสนอได้ครบทุกตัว ดังนั้นครั้งนี้จึงขอคัดเลือกหุ้นที่พลิกมีกำไรมากสุด 5 อันดับแรกมานำเสนอเท่านั้น

อันดับ 1 คือ บริษัท เพซ ดีเวลลอปเมนท์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ PACE รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 2/60 (รวมบริษัทย่อย) สิ้นสุดวันที่ 30 มิ.ย.60 โดยกำไรไตรมาส 2/60 พลิกมีกำไร 5,310.48  ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อนขาดทุน 640.54 ล้านบาท ส่วนงวด 6 เดือนพลิกมีกำไร 4,851.09 ล้านบาท จากปีก่อนขาดทุน 605.40 ล้านบาท

ซึ่งเกิดจากการบันทึกกำไรจากเงินลงทุนด้วยราคายุติธรรมของของกลุ่มอพอลโล และโกลด์แมน แซคส์ ที่ใส่เงินเข้ามาลงทุนในชุดชมวิวจึงส่งผลให้ผลการดำเนินการงวดไตรมาส 2/2560 พลิกมีกำไร และแม้ว่าผู้สอบฯได้ตั้งข้อสงสัยบุ๊ครายได้จุดชมวิวโอเวอร์จนเป็นเหตุให้หุ้นถูกขึ้นเครื่องหมาย NP คือ Notice pending เพื่อแสดงว่าบริษัทจดทะเบียนมีข้อมูลที่ต้องรายงานและตลาดหลักทรัพย์อยู่ระหว่างรอข้อมูลจากบริษัท

อย่างไรก็ตาม PACE ได้ว่าจ้างปรึกษาทางการเงินอิสระชั้นนำระดับโลก ซึ่งตีมูลค่ายุติธรรมของจุดชมวิวไว้ที่ 7.32 พันล้านบาท และบันทึกในงบแสดงฐานะการเงินรวม และบันทึกเป็นการรับรู้รายได้จากผลกระทบจากการสูญเสียการควบคุมในบริษัทย่อย จำนวนเงิน 8.86 พันล้านบาท หลังจากที่ได้ศึกษาข้อมูลเชิงลึกเพื่อประกอบสมมุติฐาน เช่น เปรียบเทียบจำนวนผู้เข้าชมจุดชมวิว กับตึกชมวิวตามประเทศต่างๆ 9 แห่งทั่วโลก รวมถึงเทียบกับตึกใบหยกที่สูงเป็นอันดับ 2 ในไทยที่ปัจจุบันมีจำนวนผู้เข้าชมตึกเป็นจำนวนมากกว่า 1 ล้านคนต่อปี และเปรียบเทียบจำนวนนักท่องเที่ยวที่เข้าในประเทศไทยสูงเป็นอันดับ 1 ของโลก

อีกทั้งจุดชมวิวในโครงการมหานครได้มีการออกแบบให้มีลิฟท์ที่มีความจุและเร็วที่สุดในประเทศไทย ณ ขณะนี้ ซึ่งทำให้สามารถรองรับนักท่องเที่ยวที่จะเข้าชมจุดชมวิวได้มากกว่า 3 ล้านคนต่อปี ซึ่งหากสินทรัพย์มีการก่อสร้างแล้วเสร็จและเริ่มเปิดดำเนินการได้บริษัทฯจะมีรายได้ตามสมมุติฐาน

แน่นอนจากการบันทึกกำไรจุดชมวิวที่กล่าวถึงไปแล้ว ส่งผลให้ PACE มีสภาพคล่องทางการเงินขึ้นมาทันที โดยบริษัทมีค่า D/E Ratio ในไตรมาส 2/2560 คงเหลือเพียง 4.38 เท่า จากเดิมในไตรมาส 1/2560 ค่า D/E สูงถึง 28.07 เท่า

ขณะที่ยอดขาดทุนสะสมของบริษัทลดลงเหลือเพียง 262.23 ล้านบาท จากไตรมาส 1/2560 ที่มีขาดทุนสะสมมากถึง 5.80 พันล้านบาท และส่วนของผู้ถือหุ้น ณ ปัจจุบันเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 6.88 พันล้านบาท จากไตรมาส 1/60 ที่มีส่วนของผู้ถือหุ้นเพียงแค่ 1 พันล้านบาทเท่านั้น

 

อันดับ 2 บริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ NOBLE รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 2/60 สิ้นสุดวันที่ 30 มิ.ย.60 พลิกมีกำไร 392.02 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อนขาดทุน 119.57 ล้านบาท ส่วนงวด 6 เดือนพลิกมีกำไร 1,286.95 ล้านบาท จากปีก่อนขาดทุน 257.47 ล้านบาท โดยผลการดำเนินงานในไตรมาสที่ 2 มีรายได้จากการขาย ธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของบริษัทเพิ่มขึ้น 1,762.88 ล้านบาท หลังรับรู้รายได้โครงการโนเบิล เพลินจิต และโครงการโนเลิล รีวอลฟ์ รัชดา

บล.ดีบีเอสฯ ระบุในบทวิเคราะห์ว่า  NOBLE คาดยอดขายรอโอน Noble เพลินจิต ณ สิ้นไตรมาส1/60 ยังเหลือ 3.9 พันล้านบาท ขณะที่ฐานเปรียบเทียบไตรมาส 2/59 และไตรมาส 3/59 มีผลเป็นขาดทุนสุทธิ ดังนั้นกำไรไตรมาส 2/60 และไตรมาส 3/60 ยังสดใสกว่าเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งมีการโอนน้อยมากส่วนในวันที่ 6 ส.ค.60 เตรียมเปิดขายคอนโดใหม่คือ Noble Around สุขุมวิท 33 ใกล้รถไฟฟ้าพร้อมพงษ์ คาดว่าจะทำยอดขายได้ดี

นอกจากนี้คาดความกังวลเรื่องหนี้ของบริษัทที่ต้องชำระปีนี้ ผ่อนคลายลงหลังออกหุ้นกู้ชุดใหม่มารีไฟแนนซ์สำเร็จ ด้านหนี้ในส่วนของตั๋วสัญญาใช้เงิน และเงินกู้โครงการรวม 5.1 พันล้านบาท จะมีการทยอยโอนโครงการต่างๆได้เงินมาชำระหนี้

แนะนำ ซื้อเก็งกำไร เพราะหุ้นปรับลงมากจน P/E ปี 60 ตอนนี้เหลือเพียง 4.1 เท่า และคาดการณ์อัตราผลตอบแทนปันผลปีนี้สูงเป็น 4.9% ปรับราคาพื้นฐานใหม่ลดลงเป็น 16.37 บาทด้วย P/E ที่ 5.0 เท่า ยังมีส่วนเพิ่มอีก 23%

 

อันดับ 3 บริษัท สตาร์ ยูนิเวอร์แซล เน็ตเวิร์ค จำกัด (มหาชน) หรือ STAR รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 2/60 (รวมบริษัทย่อย) สิ้นสุดวันที่ 30 มิ.ย.60 พลิกมีกำไร 267.08 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อนขาดทุน 92.22 ล้านบาท ส่วนงวด 6 เดือนพลิกมีกำไร 257.13 ล้านบาท จากปีก่อนขาดทุน 110.41 ล้านบาท

โดยผลการดำเนินงานในไตรมาสดังกล่าวมีกำไรจากการจำหน่ายเงิน ลงทุนในบริษัทย่อย (บริษัท สตาร์ซานิทารีแวร์(ประเทศไทย) จำกัด) จำนวน 276.83 ล้านบาท ค่าใช้จ่ายในการบริหาร ลดลง 84.72 ล้านบาท

สำหรับแผนงานบริษัทได้เตรียมใช้เงินราว 70.8 ล้านบาท เพื่อเข้าศึกษาลงทุนในโรงไฟฟ้าขยะชุมชน อ.แม่สอด จ.ตาก ขนาด 400 กิโลวัตต์ (kW) และธุรกิจด้านสื่อประชาสัมพันธ์ ติดตั้งและบำรุงรักษาป้ายโฆษณา โดยแหล่งเงินลงทุนของบริษัทดังกล่าว จะมาจากการเพิ่มทุน จากผู้ถือหุ้น ตามรายงานการประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นครั้งที่ 1/2560 เมื่อวัน 27 ม.ค.60 รวมถึงใช้เงินสดคงเหลือและเงินทุนหมุนเวียน เพื่อรองรับการลงทุน

 

อันดับ 4 โทรีเซนไทย เอเยนต์ซีส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TTA รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 2/60 (รวมบริษัทย่อย) สิ้นสุดวันที่ 30 มิ.ย.60 พลิกมีกำไร 214.71 ล้านบาท จากปีก่อนขาดทุน 30.62 ล้านบาท ขณะที่งวด 6 เดือนพลิกมีกำไร 301.93 ล้านบาท จากปีก่อนขาดทุน 261.30 ล้านบาท โดยผลการดำเนินงานในไตรมาสดังกล่าวพลิกมีกำไร เนื่องจากมีรายได้จากการขายเพิ่มขึ้นและต้นทุนรวมลดลง ค่าใช้จ่ายในการบริหารลดลง

บล.เอเชีย เวลท์ ระบุในบทวิเคราะห์ว่า TTA มีโอกาสฟื้นตัวในปีนี้ โดยได้รับปัจจัยบวกจากการฟื้นตัวของค่าระวางเรืองคงแนะนำให้ลงทุนหุ้น  TTA ที่ราคาเป้าหมาย  13.00 บาท จากการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องของค่าระวางเรือ (BDI) ท่ามกลางไฮซีซั่นของการส่งออก จากการที่ตัวเลขด้านการผลิต (PMI) ของทั้งโลกดีขึ้น ทั้งสหรัฐฯ จีน และญี่ปุ่น ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ส่งผลให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์สำคัญ ๆ ทั้ง ถ่านหิน เหล็ก

รวมทั้งค่าระวางเรือปรับตัวดีขึ้นตามค่าเฉลี่ย BDI ไตรมาส 1/60 และ 2/60  อยู่ที่ 945 และ 1,006 จุดตามลำดับ ซึ่งเริ่มเข้าสู่ทิศทางที่เราคาดการณ์ไว้อย่างระมัดระวัง BDI เฉลี่ยที่ 1,000 จุดในปี 60 และ 1,200 จุดในปี 61 ซึ่งพลิกจากระดับ 673 ในปี 59 และ 718 ในปี 58 เมื่อดัชนี BDI มีทิศทางที่ดีขึ้น บจ.ต่าง ๆ จะเริ่มทำสัญญาเช่าเรือระยะยาวมากขึ้น

สำหรับครึ่งหลังปีนี้คาดดัชนีค่าระวางเรือฟื้นตัวต่อเนื่องจาก (1) ความต้องการนำเข้าถ่านหินและแร่เหล็กคุณภาพสูงของจีนที่เพิ่มขึ้นจากนโยบายควบคุมมลภาวะและเน้นการผลิตเหล็กคุณภาพสูง และ (2) จีนเร่งนำเข้าถ่านหินก่อนเข้าฤดูหนาว ภาพรวมอุตสาหกรรมเรือเทกองในช่วงที่เหลือของปีดูสดใสต่อเนื่องถึงปีหน้าจากการค้าที่ฟื้นตัว

นายเฉลิมชัย มหากิจศิริ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เปิดเผยว่า บริษัทปรับโครงสร้างธุรกิจในระยะ 3 ปีนี้ด้วยการลดสัดส่วนธุรกิจเดินเรือ หรือกลุ่มโทรีเซน ชิปปิ้ง และธุรกิจให้บริการนอกชายฝั่งของ บมจ.เมอร์เมด มาริไทม์ มาที่สัดส่วนรวมกัน 40-50% ภายในปี 62 จากปัจจุบันมีสัดส่วนรายได้หลักรวมกันราว 60% และหันมาเพิ่มสัดส่วนจากธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มมาที่ระดับ 20-30% จากที่มีสัดส่วนไม่ถึง 10% ในปัจจุบัน

ขณะที่จะมีสัดส่วนรายได้เพิ่มเติมจากธุรกิจ ได้แก่ ธุรกิจโลจิสติกส์ ธุรกิจบริหารและจัดการทรัพยากรน้ำ รวมทั้งยังมีการลงทุนธุรกิจ Start up ซึ่งปีนี้ลงทุนไปแล้ว 300 ล้านบาท เหตุผลหลักมาจากธุรกิจหลักทั้งสองธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจเดินเรือขึ้นกับสภาวะตลาดโลก ทำให้ผลประกอบการของบริษัทผันผวนไปตามเศรษฐกิจมากเกินไป บริษัทจึงต้องการปรับลดสัดส่วนลง และหันมาเพิ่มรายได้จากธุรกิจที่ไม่ได้รับผลกระทบภาวะเศรษฐกิจมากนัก และคาดว่าจะสร้างความแข็งแกร่งของผลประกอบการให้บริษัทได้ดี

นายเฉลิมชัย กล่าวว่า บริษัทอยู่ระหว่างเจรจาซื้อกิจการธุรกิจอาหาร และธุรกิจน้ำที่มี SUEZ Environnement จากฝรั่งเศสเป็นพันธมิตร คาดว่าจะสรุปได้ในเร็ว ๆ นี้เพื่อขยายรายได้จากธุรกิจเหล่านี้ รวมทั้งยังมองหาการลงทุนธุรกิจโลจิสติกส์ที่มีแนวโน้มสดใสรองรับธุรกิจออนไลน์และธุรกิจ Start up ที่กำลังเติบโตขึ้นมาก โดยปีนี้จะใช้เงินลงทุน 300 ล้านบาท

นอกจากนี้ยังสนใจลงทุนโรงไฟฟ้า ซึ่งคาดว่าจะให้ผลตอบแทนไม่มาก หรือราว 11-12% ขณะที่ธุรกิจอื่นคาดว่าจะมีอัตราผลตอบแทน 2 digit ทั้งนี้ บริษัทมีเงินสดและเงินลงทุนในระยะสั้นสูงถึง 7.6 พันล้านบาท ซึ่งเพียงสำหรับการขยายการลงทุนในระยะ 2-3 ปีนี้

สำหรับผลการดำเนินงานในปีนี้ บริษัทคาดว่ารายได้ปีนี้จะดีกว่าปีก่อนที่มีรายได้รวม 1.37 หมื่นล้านบาท และกลับมามีกำไรได้ เนื่องมาจากธุรกิจเดินเรือฟื้นตัว โดยดัชนี BDI ปรับตัวดีขึ้น และคาดว่าปีนี้อัตราค่าระวางเรือมีแนวโน้มดีขึ้นมาที่เฉลี่ย 9,000-9,500 เหรียญ/ลำ/วัน จากปีก่อนปรับตัวลงไปมากเฉลี่ยที่ 5,400 เหรียญ/ลำ/วัน นอกจากนัีบริษัทมีแผนจะซื้อเรือมือสองอีก 1-2 ลำ ในปีนี้ จากปัจจุบันที่มีกองเรือ จำนวน 21 ลำ มีระวางบรรทุกเฉลี่ยเท่าก้บ 53,188 เดดเวทตัน และมีอายุเฉลี่ย 11.82 ปี

 

อันดับ 5 บริษัท อาร์ ซี แอล จำกัด (มหาชน) หรือ RCL รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 2/60 (รวมบริษัทย่อย) สิ้นสุดวันที่ 30 มิ.ย.60 พลิกมีกำไร 162.84 ล้านบาท จากปีก่อนขาดทุน 180.61 ล้านบาท ขณะที่งวด 6 เดือนพลิกขาดทุน 98.25 ล้านบาท ลดลง 76.94% จากปีก่อนขาดทุน 261.30 ล้านบาท

ทั้งนี้ผลการดำเนินงานในไตรมาสดังกล่าวพลิกมีกำไร เนื่องจากปริมาณการขนส่งตู้สินค้ารวมมีปริมาณเพิ่มขึ้น รวมทั้งมีรายได้จากการเดินเรือเพิ่มขึ้น ขณะที่ต้นทุนการเดินเรือลดลง

บล.โกลเบล็ก ระบุในบทวิเคราะห์ว่า แนะนำทยอยซื้อกลุ่มหุ้นรายตัวที่มีข่าวดี อาทิ กลุ่มระวางเรือ แนะนำ RCL ได้ประโยชน์จากค่าระวางเรือทำ high ในรอบ 3 เดือน ขณะที่ราคาหุ้นซื้อขายต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชี (BVS) ที่ 10.40 บาท

*ทั้งนี้ข้อมูลที่มีการนำเสนอข้างต้น เป็นเพียงข้อแนะนำจากข้อมูลพื้นฐานเพื่อประกอบการตัดสินใจของนักลงทุนเท่านั้น และมิได้เป็นการชี้นำ หรือเสนอแนะให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ การตัดสินใจซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ ของผู้อ่าน ไม่ว่าจะเกิดจากการอ่านบทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตาม ล้วนเป็นผลจากการใช้วิจารณญาณของผู้อ่าน

Back to top button