8 หุ้นเสี่ยงควรระวังกำไรลด-ราคาทรุด

เผยชื่อ 8 หุ้น เข้าเขตอันตรายสำหรับการลงทุนประจำไตรมาส 1 ปี 58 หลังผลประกอบการลดลงฮวบฮาบเกิน 50% ทำเอานักลงทุนผิดหวังไปตามกัน ด้านราคาหุ้นตอบรับด้วยการดิ่งลงมาในแดนลบเป็นส่วนใหญ่ งานนี้ไตรมาสหน้าจะ “รุ่ง” หรือ “ร่วง” จับตาดูกันให้ดีๆ


เผยชื่อ 8 หุ้น เข้าเขตอันตรายสำหรับการลงทุนประจำไตรมาส 1 ปี 58 หลังผลประกอบการลดลงฮวบฮาบเกิน 50% ทำเอานักลงทุนผิดหวังไปตามกัน ด้านราคาหุ้นตอบรับด้วยการดิ่งลงมาในแดนลบเป็นส่วนใหญ่ งานนี้ไตรมาสหน้าจะ “รุ่ง”  หรือ “ร่วง” จับตาดูกันให้ดีๆ

 

จากการสำรวจข้อมูลของ “ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ในช่วงการประกาศผลดำเนินงานประจำไตรมาส 1 สิ้นสุดวันที่ 31 มี.ค.58 ของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยทั้งตลาด SET และตลาด mai โดยได้คัดเลือกหุ้นที่ประกาศผลการดำเนินงานแล้วมีกำไรลดลงเกิน 50% จากช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อน ซึ่งถือว่ากำไรลดลงค่อนข้างมาก ขณะที่ราคาหุ้นในปัจจุบันเป็นราคาที่สะท้อนปัจจัยเชิงบวกที่ผ่านไปแล้ว มองว่าหุ้นเหล่านี้มีความเสี่ยงสูงในการถูกขายทำกำไรต่อไปอีกระยะหนึ่ง

เริ่มต้นที่หุ้นเสี่ยงอันตรายตัวแรกอย่างบริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) หรือ BANPU รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 1/58 สิ้นสุดวันที่ 31 มี.ค.58 (รวมบริษัทย่อย) มีกำไรสุทธิ 69.26 ล้านบาท หรือมีกำไรสุทธิ 0.027 บาทต่อหุ้น ลดลง 96.16% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 1.80 พันล้านบาท หรือมีกำไรสุทธิ 0.699 บาทต่อหุ้น

โดยผลการดำเนินในไตรมาสดังกล่าวที่ลดลง เนื่องจากอุตสาหกรรมหลักได้รับผลกระทบจากราคาถ่านหินที่ปรับตัวลดลงต่อเนื่อง อย่างไรก็ตามธุรกิจโรงไฟฟ้ายังสามารถสร้างฐานกำไรที่สำคัญได้

ขณะที่ราคาหุ้น BANPU วานนี้ (14 พ.ค.) ปิดที่ระดับ 27.00 บาท ไม่เปลี่ยนแปลง มูลค่าซื้อขาย 312.31 ล้านบาท

 

อันดับ 2 บริษัท ผลิตภัณฑ์คอนกรีตชลบุรี จำกัด (มหาชน) หรือ CCP รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 1 สิ้นสุดวันที่ 31 มี.ค.58 (รวมบริษัทย่อย) มีกำไรสุทธิ 13.89 ล้านบาท หรือมีกำไรสุทธิ 0.0236 บาทต่อหุ้น ลดลง 79% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 66.62 ล้านบาท หรือมีกำไรสุทธิ 0.1369 บาทต่อหุ้น

ทั้งนี้ผลการดำเนินงานดังกล่าวที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากรายได้รวมลดลง จากการชะลอตัวของตลาดวัสดุก่อสร้าง

ขณะที่ราคาหุ้น CCP วานนี้ (14 พ.ค.) ปิดที่ระดับ 1.07 บาท บวก 0.03 บาท หรือ 2.88% มูลค่าซื้อขาย 4.88 ล้านบาท

 

อันดับ 3 บริษัท กันกุลเอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ GUNKUL รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 1 สิ้นสุดวันที่ 31 มี.ค.58 (รวมบริษัทย่อย) มีกำไรสุทธิ 48.22 ล้านบาท หรือมีกำไรสุทธิ 0.05 บาทต่อหุ้น ลดลง 77% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 206.71 ล้านบาท หรือมีกำไรสุทธิ 0.23 บาทต่อหุ้น

เนื่องจากมีรายได้จากการรับเหมาก่อสร้างลดลงประมาณ 90% ส่งผลให้กำไรเบ็ดเสร็จรวมลดลงตามไปด้วย เนื่องจากรัฐบาลเลื่อนการประกาศการตอบรับการซื้อไฟฟ้าโครงการพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดินค้างท่อที่เหลือ โดยคาดว่าน่าจะประกาศภายในไตรมาส 2 ปี 58

ขณะที่ราคาหุ้น GUNKUL วานนี้ (14 พ.ค.) ปิดที่ระดับ 26.00 บาท บวก 1.00 บาท หรือ 4.00% มูลค่าซื้อขาย 82.03 ล้านบาท

 

อันดับ 4 บริษัท ฮานา ไมโครอิเล็คโทรนิคส จำกัด (มหาชน) หรือ HANA รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 1 สิ้นสุดวันที่ 31 มี.ค.58 มีกำไรสุทธิ 516.69 ล้านบาท หรือมีกำไรสุทธิ 0.64 บาทต่อหุ้น ลดลง 68% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 1.59 พันล้านบาท หรือมีกำไรสุทธิ 1.98 บาทต่อหุ้น

โดยผลการดำเนินงานที่มีกำไรลดลง เนื่องจากบริษัท ฮานา เซมิคอนดักเตอร์ (อยุธยา) จากัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยได้รับค่าสินไหมทดแทนจากกรมธรรม์ประกันภัยความเสียหายของทรัพย์สินที่เกิดจากจากอุทกภัยในปี 54

ขณะที่ราคาหุ้น HANA วานนี้ (14 พ.ค.) ปิดที่ระดับ 44.75 บาท บวก 0.50 บาท หรือ 1.13% มูลค่าซื้อขาย 76.62 ล้านบาท

 

อันดับ 5 บริษัท ผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ RATCH รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 1 สิ้นสุดวันที่ 31 มี.ค.58 (รวมบริษัทย่อย) มีกำไรสุทธิ 1.16 พันล้านบาท หรือมีกำไรสุทธิ 0.80 บาทต่อหุ้น ลดลง 51% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 2.37 พันล้านบาท หรือมีกำไรสุทธิ 1.63 บาทต่อหุ้น

ทั้งนี้ผลการดำเนินงานดังกล่าวที่ลดลง สาเหตุหลักจากไตรมาสที่ 1 ปี 57 โรงไฟฟ้าไตรเอนเนอจี้ได้รับเงินชดเชยรายได้ค่าขายไฟและค่าอุปกรณ์โรงไฟฟ้าจากบริษัทประกันภัยเนื่องจากอุปกรณ์โรงไฟฟ้าเสียหาย อีกทั้งบริษัท ไฟฟ้าหงสา จำกัด ซึ่งเป็นกิจการที่ควบคุมร่วมกัน มีผลการดำเนินงานขาดทุนใน 40

ขณะที่ราคาหุ้น RATCH วานนี้ (14 พ.ค.) ปิดที่ระดับ 59.00 บาท ลบ 0.50 บาท หรือ 0.84% มูลค่าซื้อขาย 115.41 พันล้านบาท

 

อันดับ 6 บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TRUE รวมบริษัทย่อยแจ้งผลการดำเนินงานไตรมาส 1 สิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2558 มีกำไรสุทธิ 1,629.31 ล้านบาท หรือ 0.07 บาทต่อหุ้น ลดลง 57.73 % เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 3,854.53ล้านบาท หรือกำไรสุทธิต่อหุ้น 0.24 บาท

ทั้งนี้ผลการดำเนินงานดังกล่าวที่ลดลง เนื่องจากบริษัทมีค่าใช้จ่ายในการขยายโครงข่าย รวมถึงค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับทรานสมิชชั่น และค่าใช้จ่ายในการเช่าใช้เสาโทรคมนาคมเพิ่มขึ้น

ขณะที่ราคาหุ้น TRUE วานนี้ (14 พ.ค.) ปิดที่ระดับ 11.50 บาท บวก 0.40 บาท หรือ 3.60% มูลค่าซื้อขาย 2.06 พันล้านบาท

 

อันดับ 7 บริษัท สหโมเสคอุตสาหกรรม จำกัด (มหาชน) หรือ UMI รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 1 สิ้นสุดวันที่ 31 มี.ค.58 (รวมบริษัทย่อย) มีกำไรสุทธิ 16.74 ล้านบาท หรือมีกำไรสุทธิ 0.02 บาทต่อหุ้น ลดลง 57% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 39.23 ล้านบาท หรือมีกำไรสุทธิ 0.05 บาทต่อหุ้น

โดยผลการดำเนินงานที่มีกำไรลดลง เนื่องจากรายได้ยอดขายสินค้าลดลง

ขณะที่ราคาหุ้น UMI วานนี้ (14 พ.ค.) ปิดที่ระดับ 4.94 บาท บวก 0.04 บาท หรือ 0.82% มูลค่าซื้อขาย 0.40 ล้านบาท

 

อันดับสุดท้ายบริษัท ซัสโก้ จำกัด (มหาชน) หรือ SUSCO และรวมของบริษัทย่อยแจ้งผลการดำเนินงานไตรมาส 1 สิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2558 มีกำไรสุทธิ 10.65 ล้านบาท หรือ 0.01 บาทต่อหุ้น ลดลง 51% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 21.74 ล้านบาท หรือกำไรสุทธิต่อหุ้น 0.02 บาท

ทั้งนี้ผลการดำเนินงานดังกล่าวที่ลดลง เนื่องจากรายได้รวมลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันของปี 57 จำนวน 1,032.83 ล้านบาท หรือลดลง 16.61% เนื่องจากรายได้จากการขายสุทธิลดลงจากราคาน้ำมันที่ได้ปรับลดลง

ขณะที่ราคาหุ้น SUSCO วานนี้ (14 พ.ค.) ปิดที่ระดับ 3.34 บาท บวก 0.02 บาท หรือ 0.60% มูลค่าซื้อขาย 4.92 ล้านบาท

 

สำหรับหุ้นที่กล่าวถึงข้างต้นนั้นเป็นหุ้นที่แหล่งข่าวมองว่าเสี่ยงต่อการลงทุน อีกทั้งในภาวะที่เศรษฐกิจชะลอตัว แถมตลาดหุ้นยังผันผวนและแกว่งตัวอยู่ในช่วงขาลงเป็นส่วนใหญ่ จึงเป็นที่น่าจับตาว่าในไตรมาสถัดไป หุ้นเหล่านี้ยังจะสามารถทำกำไรได้อยู่หรือไม่

Back to top button