TOA ตั้งเป้ารายได้ปีนี้โต 10% รับอัพราคาสินค้า-ศก.ฟื้น! ทุ่ม 400-500 ลบ. ลุยพัฒนาธุรกิจ

TOA ตั้งเป้ารายได้ปีนี้โต 10% รับอัพราคาสินค้า-ศก.ฟื้น! ทุ่ม 400-500 ลบ. ลุยพัฒนาธุรกิจ แวร์เฮาส์-อาคาร-เพิ่มความสามารถการจัดส่งสินค้า


นายจตุภัทร์ ตั้งคารวคุณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท  ทีโอเอ เพ้นท์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ TOA นำเสนอข้อมูลภาพรวมธุรกิจบริษัทและสรุปผลประกอบการไตรมาส 1/2564 สิ้นสุด 31 มี.ค.2564 รวมทั้งแผนธุรกิจในปี 2564 ในงานบริษัทจดทะเบียนพบผู้ลงทุน (Opportunity Day) จัดโดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในวันที่ 27 พ.ค.2564

สำหรับ TOA ประกาศผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/2564 มียอดขายและกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 8% และ 59% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน สูงสุดเป็นประวัติการณ์ หลังดีมานด์การใช้สินค้าเติบโตทั้งในและต่างประเทศ

โดยไตรมาส 1/2564 ยอดขายรวมอยู่ที่ 4,422 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.8% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 4,101 ล้านบาท จากยอดขายที่เพิ่มขึ้นทำให้อัตรากำไรขั้นต้นในไตรมาส 1/2564 อยู่ที่ 1,613 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 1,551 ล้านบาท

ขณะเดียวกันบริษัทยังสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายได้ดีโดยเห็นได้จากไตรมาส 1/2564 อยู่ที่ 830 ล้านบาทนี้ ลดลง 7.6% จาก ช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 898 ล้านบาท ส่งผลให้ EBITDA ในไตรมาส 1/2564 อยู่ที่ 1,008 ล้านบาท เติบโต 37.8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน อยู่ที่ 732 ล้านบาท

ทั้งนี้จากยอดขายที่เพิ่มขึ้นและค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานลดลงส่งผลให้กำไรสุทธิในไตรมาส 1/2564 อยู่ที่ 670 ล้านบาท เติบโต 59% เทียบไตรมาส 1/2563 อยู่ที่ 422 ล้านบาท โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากความต้องการสินค้า TOA ที่ฟื้นตัวและเติบโตได้ดีทั้งในประเทศไทยและตลาดต่างประเทศ ซึ่งเป็นผลมาจากการขยายธุรกิจที่ครอบคลุมสินค้าและบริการแบบครบวงจร

โดยเห็นได้จากบริษัท ไม่ได้มีแค่สีทาอาคาร แต่เรายังมีผลิตภัณฑ์กลุ่มอื่นๆที่เราเชี่ยวชาญ ทั้งผลิตภัณฑ์เคมีภัณฑ์ก่อสร้าง แผ่นยิปซั่ม และผลิตภัณฑ์กระเบื้อง ที่บริษัทฯเข้าไปลงทุนช่วงกลางเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ทำให้ปัจจุบันพอร์ตสินค้าของ TOA มีความหลากหลายและสร้างการเติบโตให้บริษัทฯอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้บริษัทฯได้มีการพัฒนาช่องทางการจัดจำหน่าย และระบบการให้บริการอย่างครบวงจร และเข้าถึงได้ง่าย เพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภคได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

ส่วนแนวโน้มแนวผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/2564 คาดเติบโตดี จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนปีนี้ตั้งเป้ารายได้เติบโตราว 10% อยู่ที่ประมาณ 17,000 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 16,438.20 ล้านบาท และคาดว่า EBITDA จะเติบโตประมาณ 10 % โดยจะเป็นการเติบโตทั้งในประเทศและต่างประเทศ อีกทั้งแนวโน้มราคาวัตถุดิบยังปรับตัวขึ้นสูงต่อเนื่อง โดยอิงราคาน้ำมัน ดังนั้นในไตรมาส 3/2564  บริษัทมีแผนปรับเพิ่มราคาสินค้าประมาณ 3-10% ขึ้นอยู่กับกลุ่มสินค้า

อย่างไรก็ตามภาพรวมธุรกิจในช่วงปีนี้คาดว่าจะฟื้นตัวได้ทุกเซ็กเมนต์ ไม่ว่าจะเป็นด้านของการท่องเที่ยวในช่วงปลายปี และภายในสองเดือนนี้จะเร่งฉีดวัคซีน ขณะเดียวกันสินค้าเกษตรในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ประเทศเราประสบปัญหาภัยแล้ง แต่ในปีนี้ฝนตกดีคาดว่าจะเติบโตได้ดีขึ้น ในส่วนของภาคอุตสาหกรรมปีนี้การส่งออกเพิ่มมากขึ้น จะมีแค่ภาคอุตสาหกรรมการ ก่อสร้างตึกสูงจะชะลอตัวบ้าง

ส่วนสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 รอบ 3 แม้จะกระทบธุรกิจบ้างแต่ไม่มากเท่ากับผู้ประกอบรายอื่น โดยรวมๆบริษัทก็ยังรับมือได้และยังสามารถเติบโตได้ดี ขณะเดียวกันสถานะการเงินยังแข็งแกร่ง โดยเห็นได้จากกระแสเงินสดในมือปัจจุบันราว 1 พันล้าน และมีหนี้น้อย และเงินระดมทุนจากการเข้าตลาดฯยังเป็นเงินทุนแข็งแกร่งในการดำเนินธุรกิจ

ขณะเดียวกันปีนี้บริษัทตั้งงบลงทุนประมาณ 400-500 ล้านบาท โดยจะใช้ในการปรับปรุงประสิทธิภาพในธุรกิจ อาทิ การเพิ่มกำลังการผลิต,ขยายแวร์เฮาส์,อาคารสินค้า,การติดตั้งระบบออโต้ Auto แทนระบบ manual และเพิ่มความสามารถในการจัดส่ง เป็นต้น ส่วนแผนการทำดีล M&A ในปีนี้ก็ยังมองโอกาสอยู่ต่อเนื่อง 

“เรามั่นใจว่าทิศทางธุรกิจที่เราเดินมาทั้งการปรับแผนธุรกิจการขายและขยายช่องทางการจำหน่ายคาดจะทำให้ผลงานปีนี้เติบโตได้ตามแผน อีกทั้งฐานะการเงินที่ยังแข็งแกร่ง เชื่อว่าธุรกิจจะเติบอย่างแข็งแกร่งในอนาต” นายจตุภัทร์กล่าว

Back to top button