
AAI ลั่นออเดอร์ OEM โตแรง เตรียมเพิ่มไลน์ผลิต รับตลาดฟิลิปปินส์-อินโด
AAI ปักหมุดตลาดฟิลิปปินส์-อินโดฯ รับดีมานด์อาหารสัตว์เลี้ยงพุ่ง เดินหน้ากลยุทธ์ OEM พัฒนาสินค้าเพื่อสุขภาพ พร้อมขยายฐานสู่ตะวันออกกลาง หนุนการเติบโตระยะยาวอย่างยั่งยืน
นางสาววรัญรัชต์ อัสสานุพงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่สายการเงิน บริษัท เอเชี่ยน อะไลอันซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ AAI เปิดเผยว่า ภาพรวมธุรกิจผ่านในงาน Opportunity Day จัดโดยตลาดหลักทรัพย์ฯ เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคมที่ผ่านมา ว่าผลประกอบการในไตรมาส 1/2568 บริษัทฯ มีรายได้รวม 1,918.68 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 25.99% เมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อน 1,522.84 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 258.65 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.84% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 242.07 ล้านบาท โดยเพิ่มขึ้นจากกลุ่มธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง
สำหรับแนวโน้มในไตรมาส 2/2568 บริษัทฯ คาดว่าปริมาณคำสั่งผลิตสินค้าจะทรงตัว เนื่องจากความไม่แน่นอนจากนโยบายของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ทำให้ลูกค้าบางส่วนลังเลในการสั่งล่วงหน้า โดยเฉพาะช่วงหลังหมดระยะผ่อนผัน ซึ่งอัตราภาษีนำเข้าอาจมีการเปลี่ยนแปลงทั้งเพิ่มขึ้น ลดลง หรือคงที่ที่ 10% ทำให้บริษัทต้องร่วมวางแผนกับลูกค้า ปรับโครงสร้างต้นทุน เพื่อคงความสามารถในการแข่งขันของสินค้าในตลาดต่อไป
โดยกลยุทธ์หลักของ AAI ยังคงมุ่งเน้นการรับจ้างผลิต (OEM) โดยเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา บริษัทเริ่มเดินสายการผลิตให้กับลูกค้ารายแรกจากฟิลิปปินส์และอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นตลาดที่อุตสาหกรรมอาหารสัตว์เลี้ยงกำลังเติบโตอย่างชัดเจน สะท้อนถึงความน่าสนใจของผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพและสามารถต่อยอดในกลุ่มสินค้าสุขภาพสัตว์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ขณะเดียวกัน ตลาดในประเทศจีนยังคงชะลอตัวเนื่องจากการแข่งขันที่รุนแรง บริษัทฯ จึงตัดสินใจลดปริมาณการขายในตลาดดังกล่าว พร้อมปรับกลยุทธ์ใหม่ให้เหมาะสมกับสถานการณ์
นางสาววรัญรัชต์ กล่าวอีกว่า ยอดขายสินค้าอาหารพร้อมทานบรรจุภาชนะปิดผนึกในไตรมาส 1 อยู่ที่ 224 ล้านบาท แม้ในแง่ของปริมาณจะเพิ่มขึ้น แต่รายได้ในรูปแบบเงินบาทยังไม่เติบโตตาม เนื่องจากสัดส่วนของผลิตภัณฑ์กลุ่มทูน่ามีสัดส่วนน้อยลง ทั้งนี้ ตลาดเป้าหมายหลักยังอยู่ในภูมิภาคตะวันออกกลาง และยังเน้นการใช้วัตถุดิบให้เกิดประโยชน์สูงสุด
ด้านการลงทุน บริษัทฯ มีแผนโครงการใหญ่ 2 โครงการ ได้แก่ การก่อสร้างคลังสินค้าอัตโนมัติ ซึ่งจะเริ่มในช่วงกลางปี 2569 พร้อมได้รับสิทธิประโยชน์จาก BOI และโครงการก่อสร้างโรงงานผลิตหลังที่ 2 ซึ่งอยู่ระหว่างการปรับแบบ และการพิจารณาในปัจจัยอื่น ๆ ร่วมด้วย โดยวางเป้าเพิ่มกำลังการผลิตไม่น้อยกว่า 80,000 ตันต่อปี ทั้งนี้ บริษัทฯ พร้อมปรับแผนให้เหมาะสมกับสถานการณ์และความต้องการของตลาด อีกทั้งยังให้ความสำคัญกับการลงทุนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตอย่างต่อเนื่อง เพื่อช่วยลดต้นทุนในภาพรวม และเพิ่มศักยภาพการแข่งขันในระยะยาว
รวมไปถึงในส่วนของการแข่งขัน บริษัทฯ มองว่า เวียดนามและอินเดียอาจเป็นคู่แข่งสำคัญในอนาคต เนื่องจากมีฐานแรงงานต้นทุนต่ำ อย่างไรก็ตาม จุดแข็งของ AAI คือความสามารถในการพัฒนาอาหารสัตว์เลี้ยงที่มีคุณสมบัติส่งเสริมสุขภาพ รวมถึงผลิตภัณฑ์ที่มีสรรพคุณทางยา ซึ่งเป็นโอกาสการเติบโตในอนาคตและดึงดูดให้ลูกค้ายังคงเลือก AAI เป็นฐานการผลิต
ทั้งนี้ ภาพรวมปี 2568 บริษัทฯ มองว่าสงครามการค้าระหว่างประเทศอาจส่งผลกระทบต่อยอดขายและอัตรากำไรในช่วงที่เหลือของปี อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ยังไม่ปรับเป้าหมาย เนื่องจากยังเห็นอุปสงค์ในกลุ่มอาหารสัตว์เลี้ยง โดยจะติดตามนโยบายภาษีนำเข้าและแผนรับมือร่วมกับลูกค้าอย่างใกล้ชิด หากสถานการณ์ชัดเจนมากขึ้น บริษัทฯ อาจมีการทบทวนประมาณการอีกครั้ง นางสาววรัญรัชต์ กล่าวทิ้งท้าย