
กพท. ไฟเขียว AOT เก็บค่าบริการเชิงพาณิชย์ อาคาร SAT-1 หนุนรายได้กว่า 300 ล้านต่อปี
สำนักงานการบินพลเรือนฯ อนุมัติให้ AOT จัดเก็บค่าบริการระบบไฟฟ้า 400 Hz และระบบปรับอากาศ PC-AIR ที่อาคาร SAT-1 ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ คาดสร้างรายได้เพิ่มกว่า 300 ล้านบาทต่อปี หนุนรายได้ไม่เกี่ยวกับกิจการการบิน พร้อมยกระดับบริการเทียบชั้นสนามบินชั้นนำทั่วโลก
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (5 ส.ค.68) นางสาวปวีณา จริยฐิติพงศ์ รักษาการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT เปิดเผยว่า สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) ได้พิจารณาและอนุมัติอัตราค่าบริการระบบไฟฟ้า 400 Hz และระบบปรับอากาศ PC-AIR ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของงานบริการด้านอุปกรณ์บริการภาคพื้นและสิ่งอำนวยความสะดวกด้านการซ่อมบำรุง (GSE) สำหรับการให้บริการ ณ อาคารเทียบเครื่องบินรองหลังที่ 1 (SAT-1) ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ
โดยการจัดเก็บค่าบริการระบบไฟฟ้า 400 Hz และระบบปรับอากาศ PC-AIR เดิมนั้น ครอบคลุมพื้นที่การให้บริการภายในท่าอากาศยาน (Main Terminal Building) เท่านั้น แต่ยังไม่รวมพื้นที่อาคารใหม่ที่สร้างขึ้นภายหลังอย่าง SAT-1 เข้าไปด้วย บริการดังกล่าวเป็นบริการที่สายการบินจำเป็นต้องรับบริการเมื่อจอดเทียบอาคาร ซึ่งจะเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการแก่สายการบิน และรองรับการเติบโตของการเดินทางทางอากาศ หลังจากที่ AOT ได้เริ่มให้บริการระบบดังกล่าวตั้งแต่วันที่ 28 กันยายน 2566 ที่ผ่านมา
ทั้งนี้ ปัจจุบันมีสายการบินใช้บริการที่ SAT-1 ประมาณ 30 สายการบินต่อเดือน โดยมีสถิติประมาณ 2,000 เที่ยวบินต่อเดือน ซึ่ง AOT คาดว่าจะมีรายได้เพิ่มขึ้นจากการเก็บค่าบริการดังกล่าวกว่า 300 ล้านบาทต่อปี และเพิ่มขึ้นเมื่อมีสายการบินมาใช้บริการมากขึ้น
นางสาวปวีณา กล่าวเพิ่มเติมว่า การจัดเก็บค่าบริการระบบไฟฟ้า 400 Hz และระบบปรับอากาศ PC-AIR ที่อาคาร SAT-1 เป็นอีกหนึ่งการเพิ่มรายได้ที่ไม่เกี่ยวข้องกับกิจการการบิน (Non-Aeronautical Revenue) สอดรับกับแนวโน้มการเติบโตของสายการบินที่เข้ามาใช้บริการที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิซึ่งเพิ่มขึ้นทุกปี จะช่วยเสริมศักยภาพด้านแหล่งรายได้ที่มีประสิทธิภาพ
อีกทั้งบริการดังกล่าวยังเป็นบริการที่สนามบินชั้นนำทั่วโลกมีให้บริการ ลดการใช้พลังงานและการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ลดมลพิษทางอากาศและเสียงรบกวนจากเครื่องกำเนิดไฟฟ้า ขณะที่เครื่องบินเข้าจอด ณ หลุมจอดอากาศยานประจำเครื่องบิน ซึ่งเป็นสิ่งที่ AOT ตระหนักและให้ความสำคัญต่อการลดปัญหาที่จะเกิดกับสิ่งแวดล้อมและชุมชน จะนำไปสู่ประสิทธิภาพด้านการพัฒนาอย่างยั่งยืนในระยะยาวขององค์กรไป จนถึงการเตรียมความพร้อมให้กับท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เป็นศูนย์กลางการบินภูมิภาคต่อไป