SPRC วางกลยุทธ์ไตรมาส 4 เร่งผลิตน้ำมัน-รุกขายในประเทศ หนุนมาร์จิ้น พ่วงคุมต้นทุนเข้ม

SPRC เดินหน้ากลยุทธ์ไตรมาส 4/68 มุ่งผลิตน้ำมันจากโรงกลั่นให้ได้สูงสุด พร้อมขยายการจำหน่ายในประเทศเพื่อเก็บมาร์จิ้นจากตลาดสิงคโปร์ และคุมต้นทุนอย่างเข้มงวด เสริมศักยภาพการแข่งขัน ขณะเตรียมซ่อมบำรุงใหญ่ปี 2569 เพิ่มความยืดหยุ่นและประสิทธิภาพการผลิต


นายณรงค์ฤทธิ์ ชัยยะราษฎร์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ฝ่ายกลยุทธ์ นโยบาย และพัฒนาธุรกิจ บริษัท สตาร์ ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ SPRC เปิดเผยในงาน Opportunity Day จัดโดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2568 ว่า ผลประกอบการไตรมาส 3 ปี 2568 บริษัทมีรายได้รวม 61,595.70 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 1,578.59 ล้านบาท เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่ขาดทุนสุทธิ 2,216.36 ล้านบาท

การปรับตัวดีขึ้นของผลการดำเนินงานสะท้อนปัจจัยบวกหลายด้าน ได้แก่ ค่าการกลั่นปรับตัวสูงขึ้นจากส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์กลั่นกลุ่มกลาง (Middle Distillate) ที่แข็งแกร่ง การบันทึกกำไรจากสต็อกน้ำมันซึ่งได้ประโยชน์จากราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยที่สูงขึ้นในช่วงไตรมาส และค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่ลดลงจากการเพิ่มประสิทธิภาพต้นทุน ส่งผลให้ธุรกิจการกลั่นและธุรกิจจัดจำหน่ายมีผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นพร้อมกัน

ในไตรมาสนี้ บริษัทสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มได้ประมาณ 389.40 ล้านบาท จากการเพิ่มยอดขายในประเทศและการปรับผสมผสานน้ำมันดิบและผลิตภัณฑ์ให้เหมาะสมมากขึ้น

สำหรับผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนแรกของปีสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2568 บริษัทมีรายได้รวม 184,401.50 ล้านบาท ขณะที่กำไรสุทธิ 1,479.77 ล้านบาท ลดลง 28.60% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สาเหตุหลักมาจากราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยที่ลดลง ส่งผลให้รายได้ลดลงและเกิดผลขาดทุนจากสต็อกน้ำมันสุทธิที่เพิ่มขึ้น รายได้อื่นลดลงเพราะไม่มีการรับรู้เงินประกันภัยเหมือนไตรมาส 1/2567 จำนวน 18.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

ส่วนธุรกิจจัดจำหน่ายมีความสามารถทำกำไรดีขึ้นจากการขยายสถานีบริการและการปรับช่องทางขายให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมถึงต้นทุนทางการเงินลดลงจากการชำระคืนเงินกู้ระยะยาว มูลค่าการสร้างคุณค่าองค์กร (Enterprise Value Capture) ในช่วง 9 เดือนปี 2568 อยู่ที่ 1,331.6 ล้านบาท

นายณรงค์ฤทธิ์ กล่าวอีกว่า สำหรับไตรมาส 4 ปี 2568 บริษัทให้ความสำคัญ 3 ประเด็นหลัก ได้แก่ การผลิตน้ำมันจากโรงกลั่นให้ได้สูงสุด การจำหน่ายผลิตภัณฑ์ในประเทศให้มากที่สุดเพื่อเก็บมาร์จิ้นจากตลาดสิงคโปร์ที่น่าสนใจ และการบริหารจัดการต้นทุนอย่างเข้มงวด เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันอย่างยั่งยืน

นอกจากนี้ ระบุว่า การรวมธุรกิจโรงกลั่นและธุรกิจการตลาดสร้างประโยชน์อย่างชัดเจนต่อบริษัท โดยกลยุทธ์ระยะสั้นยังคงให้ความสำคัญกับวินัยทางการเงินเป็นหลัก ขณะที่ปี 2569 บริษัทเตรียมดำเนินการซ่อมบำรุงครั้งใหญ่ (Turnaround) ซึ่งจะช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นในการผลิต โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์สำคัญอย่างแก๊สโซลีนและน้ำมันอากาศยาน ช่วยบริหารอัตรากำไรขั้นต้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ

สำหรับกลไกสำคัญในการสร้างผลกำไร บริษัทยังคงเดินหน้าใช้กลยุทธ์ “Spot to Street” โดยเน้นธุรกิจค้าปลีกผ่านสถานีบริการคาลเท็กซ์ของบริษัทเอง ซึ่งทำให้อัตรากำไรขั้นต้นสูงที่สุด พร้อมให้ความสำคัญในการบริหารจัดการโครงสร้างพื้นฐาน เพิ่มประสิทธิภาพโลจิสติกส์ และปรับปรุงการบริหารซัพพลายเชน เพื่อรองรับปริมาณการขายผลิตภัณฑ์ผ่านสถานีบริการที่เพิ่มขึ้น

นายณรงค์ฤทธิ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ตลาดในภูมิภาคอาเซียนยังคงมีความน่าสนใจ และอาจเป็นพื้นที่ศักยภาพสำหรับการขยายธุรกิจของบริษัทในอนาคต ขณะที่การซ่อมบำรุงใหญ่ต้นปี 2569 ถือเป็นประเด็นสำคัญ และบริษัทกำลังเตรียมปฏิบัติการให้เรียบร้อยตามแผนในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้

Company Snapshot

Back to top button