SCC ลุ้นกำไร Q1 โตกระฉูด 1.16 หมื่นลบ.โบรกฯชี้เป้า 560 บ.ชูอัพไซด์สูงกว่า 20%

SCC เตรียมโชว์งบไตรมาสแรก 27 เม.ย.นี้ เก็งกำไรสุดแจ่ม 1.16 หมื่นล้านบาท รับผลดี Spread เคมีภัณฑ์ปรับตัวเพิ่มขึ้นหนุนธุรกิจปิโตรเคมีแกร่ง แถมอัพไซด์ยังเกิน 20% เหล่าโบรกฯเชียรซื้อ ชูพื้นฐานยังโดดเด่น ราคาเป้า 560 บ.


SCC เตรียมโชว์งบไตรมาสแรก 27 เม.ย.นี้ เก็งกำไรสุดแจ่ม 1.16 หมื่นล้านบาท รับผลดี Spread เคมีภัณฑ์ปรับตัวเพิ่มขึ้นหนุนธุรกิจปิโตรเคมีแกร่ง แถมอัพไซด์ยังเกิน 20% เหล่าโบรกฯเชียรซื้อ ชูพื้นฐานยังโดดเด่น ราคาเป้า 560 บาท

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด(มหาชน) หรือ SCC เตรียมประกาศผลประกอบการประจำไตรมาส 1/59 สิ้นสุดงวดวันที่ 31 มี.ค.59 ซึ่งทางนักวิเคราะห์บล.ฟินันเซีย ไซรัส คาด SCC จะประกาศกำไรอยู่ที่ประมาณ 1.16 หมื่นล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นประมาณ 2% จากไตรมาสก่อนและเพิ่มขึ้นประมาณ 5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมองว่าโดยปัจจัยสำคัญที่จะช่วยหนุนการเติบโตของกำไร คือ ธุรกิจปิโตรเคมียังหนุน ซึ่งช่วยชดเชยผลประกอบการที่อ่อนแอของธุรกิจปูนซีเมนต์และวัสดุก่อสร้าง ซึ่งถูกกระทบจากราคาปูนที่ลดลง 5.0-10.0% จากกำลังการผลิตในประเทศที่เพิ่มขึ้น และกิจกรรมการก่อสร้างที่ชะลอตัว พร้อมทั้งซื้อเมื่ออ่อนตัว

 

ขณะเดียวกัน บล.ฟิลลิป แนะนำ “ซื้อ” SCC ราคาเป้าหมาย 560 บาท โดยคาดภาพรวมธุรกิจหลักยังดีขึ้นไม่ทั่วหน้า ธุรกิจปูนซิเมนต์/วัสดุก่อสร้างยังไม่ได้เติบโตมากนัก แม้ว่าอุปสงค์ปูนซิเมนต์ไตรมาส 1/59 น่าจะจบเพิ่มขึ้น 1-2% หลังจากเติบโต 1.5% ในครึ่งหลังปี 59

อย่างไรก็ตาม ธุรกิจวัสดุก่อสร้าง ซึ่งมีสัดส่วนการขายในประเทศสูงยังซบเซาจากตลาดต่างจังหวัดที่ได้รับผลลบจากการแห้งแล้ง นอกจากนี้ โรงปูนใหม่ 2 แห่งที่ กัมพูชาและ อินโดนีเซีย ที่เริ่มผลิตในไตรมาส 4/58 ปัจจุบันนี้ยังผลิตไม่เต็มที่ ราว 50-60% ทำให้ต้องรับภาระค่าเสื่อมราคาอยู่ ในเวลาเดียวกัน ธุรกิจกระดาษ ยังไม่น่าจะเติบโตจากไตรมาส 1/58 เพราะส่วนต่างผลิตภัณฑ์ยังต่ำ คาดว่ายังอ่อนลง

ส่วนธุรกิจปิโตรเคมีน่าจะเป็นธุรกิจเดียวที่มีการเติบโต  Spread ของผลิตภัณฑ์หลัก HDPE-Naptha ยังเพิ่มจาก US$694/ตัน เป็น US$752/ตัน ตลาด HDPE ยังมีการใช้การผลิตที่สูง 92% และยังไม่มี Supply ใหม่ ทำให้ Spread ยังไปได้ดี ส่วน Spread ผลิตภัณฑ์ PP ลดลงจาก US$664/ตัน เป็น US$567/ตัน โดยหลักเป็นผลจากความไม่สมดุลด้าน Supply ของ PP ที่มีมากกว่า HDPE

ทั้งนี้ ในส่วนของอัพไซด์ราคาหุ้นนั้นยังสูงอยู่มาก โดย ณ วันที่ 25 เม.ย.59 หุ้นมีอัพไซด์ที่ 23.96% อิง P/E ที่ 12.74 P/BV ที่ 2.81 และ Div.Yield ที่ 3.32% ด้านราคาหุ้นปิดตลาดวานนี้อยู่ที่  478 บาท ปรับตัวลง  4.00 บาทหรือ  0.83% มูลค่าซื้อขายที่  827.07 ล้านบาท

 

*ทั้งนี้ข้อมูลที่มีการนำเสนอข้างต้นเป็นเพียงข้อแนะนำจากข้อมูลพื้นฐานเพื่อประกอบการตัดสินใจของนักลงทุนเท่านั้น และมิได้เป็นการชี้นำหรือเสนอแนะให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆการตัดสินใจซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ ของผู้อ่าน ไม่ว่าจะเกิดจากการอ่านบทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตามล้วนเป็นผลจากการใช้วิจารณญาณของผู้อ่าน

Back to top button