SMD จ่อเข้าเทรด mai มิ.ย.นี้ ระดมทุนสร้างศูนย์ตรวจการนอนหลับ-ลงทุนเครื่องมือแพทย์

“เซนต์เมด" หรือ SMD จ่อเข้าเทรด mai มิ.ย.นี้ รอปรับปรุงข้อมูลเพิ่มเติมในไฟลิ่ง ส่วนงบการเงินไตรมาส 1/64 ลุยระดมทุนสร้างศูนย์ตรวจการนอนหลับ-ลงทุนเครื่องมือแพทย์ให้เช่า เสริมศักยภาพเติบโตระยะยาว


นายเอกจักร บัวหภักดี กรรมการผู้จัดการ บริษัท แคปปิตอล วัน พาร์ทเนอร์ จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินให้กับ บริษัท เซนต์เมด จำกัด (มหาชน) หรือ SMD กล่าวว่า SMD คาดว่าจะเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้กับประชนเป็นครั้งแรก (IPO) ภายในเดือน มิ.ย.64 โดยปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างการรอปรับปรุงข้อมูลเพิ่มเติมในแบบแสดงรายการข้อมูล (ไฟลิ่ง) ในส่วนของงบการเงินไตรมาส 1/64 และเตรียมเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ต่อไป

โดย SMD จะเสนอขาย IPO จำนวนไม่เกิน 54 ล้านหุ้น หรือคิดเป็น 25.23% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดของบริษัท มีวัตถุประสงค์ของการระดมทุนเพื่อใช้ดำเนินโครงการศูนย์ตรวจการนอนหลับ ลงทุนในเครื่องมือแพทย์ให้เช่า ส่วนที่เหลือใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนดำเนินกิจการ และชำระคืนเงินกู้จากสถาบันการเงิน

ด้าน นายวิโรจน์ วสุศุทธิกุลกานต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร SMD กล่าวว่า บริษัทมีความมั่นใจในการเติบโตในอนาคตของธุรกิจ จากวิสัยทัศน์ในการมุ่งมั่นสู่การเป็นผู้นำการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์เฉพาะทาง โดยเฉพาะด้านระบบการหายใจ และช่วยชีวิต เพื่อก้าวสู่ความเป็นเลิศด้านตัวแทนจำหน่ายเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ โดยนำประสบการณ์ความเชี่ยวชาญในธุรกิจมานานกว่า 20 ปี และนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ที่ทันสมัยได้มาตรฐานสากลมาช่วยดูแลคนไทยให้ปลอดภัยและมีสุขภาพดี รองรับการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุและสังคมแห่งการดูแลสุขภาพ

ขณะเดียวกัน บริษัทยังได้รับความไว้วางใจจากผู้ผลิตเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ชั้นนำระดับโลกกว่า 30 รายที่ช่วยให้ SMD มีขีดความสามารถการแข่งขันที่ดีเหนือคู่แข่งและสนับสนุนแผนงานการขยายผลิตภัณฑ์ใหม่รองรับฐานลูกค้าในอนาคต รวมถึงการแสวงหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ จากทีมบริการหลังการขายที่มีความชำนาญและความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้า ต่อยอดสู่การดำเนินธุรกิจเพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน แบ่งออกเป็น 2 ส่วน ได้แก่ การให้บริการให้เช่าเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์เพื่อสร้างรายได้ประจำ และการร่วมมือกับโรงพยาบาลชั้นนำหลายแห่ง ดำเนินโครงการศูนย์ตรวจการนอนหลับ เนื่องจากปัจจุบันคนไทยได้ตระหนักถึงอันตรายจากการนอนกรนและหยุดหายใจในขณะนอนหลับมากขึ้น

ปัจจุบัน รายได้หลักของ SMD ถึง 75% ของรายได้รวม มาจากการขายและให้เช่าอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับการช่วยเหลือชีวิตและเครื่องมือในห้อง ICU ได้แก่ เครื่องมือที่ใช้ในห้อง ICU และห้องฉุกเฉิน ซึ่งมีสัดส่วนรายได้ที่ 40% และเครื่องมือช่วยหายใจ 35%

อย่างไรก็ตาม แม้ว่ากลุ่มลูกค้าในปัจจุบันจะมีสัดส่วนที่เปลี่ยนแปลงไปหลังจากที่โควิด-19 เข้ามากระทบ ส่งผลให้กลุ่มลูกค้าที่เป็นโรงพยาบาลและหน่วยงานภาครัฐมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นมาเป็น 70% จากก่อนหน้าที่ 40% และสัดส่วนลูกค้าโรงพยาบาลเอกชน นิติบุคคล และบุคคลทั่วไป ลดลงเหลือ 30% จากเดิมอยู่ที่กว่า 40% เนื่องจากโรงพยาบาลเอกชนชะลอการลงทุนในระยะนี้ ขณะที่โรงพยาบาลรัฐและหน่วยงานภาครัฐมีงบประมาณที่ต้องใช้ประจำปีอยู่แล้ว จึงเข้ามาชดเชยรายได้ของกลุ่มลูกค้าโรงพยาบาลเอกชนที่หายไปได้

ทั้งนี้รายได้ของบริษัทส่วนใหญ่ยังคงมาจากการขายสัดส่วนมากถึง 97% ของรายได้รวม และรายได้จากการบริการอยู่ที่ 3% ของรายได้รวม โดยที่บริษัทยังมองไปถึงการเพิ่มสัดส่วนรายได้บริการให้มากขึ้นในอนาคต ซึ่งจะเป็นรายได้ประจำที่จะเข้ามารองรับการเติบโตอย่างยั่งยืน และทำให้บริษัทมีการกระจายความเสี่ยงของรายได้มากขึ้น

ส่วน นายกำพล ชัยสุภัคสัมพันธ์ ประธานเจ้าหน้าฝ่ายบัญชีและการเงิน SMD กล่าวว่า ผลการดำเนินงานในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (ปี 61-63) บริษัทมีรายได้รวมเติบโตราว 14% ต่อปี และในปี 63 บริษัทมีรายได้รวมอยู่ที่ 660 ล้านบาท

ขณะที่บริษัทตั้งเป้ารายได้ในช่วง 3 ปีจากนี้ (ปี 64-66) เติบโตเฉลี่ย 15% ต่อปี ซึ่งยังคงเดินหน้าลงทุนขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในส่วนของการขยายเตียงสำหรับตรวจการนอนหลับ ซึ่งวางแผนขยาย 8 เตียง/ปี เพื่อสร้างรายได้ให้กับบริษัทได้มากขึ้น และเพิ่มเครื่องมือแพทย์เข้ามาให้บริการ เพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้น

ในเบื้องต้นปี 64 บริษัทจะใช้เงินลงทุนราว 100-150 ล้านบาท สำหรับเพิ่มเตียงตรวจการนอนหลับอีก 4 เตียง ใช้เงินลงทุนราว 25 ล้านบาท/เตียง และจะใช้เงินบางส่วนซื้อเครื่องมือแพทย์อื่นๆ เข้ามารองรับการบริการเพิ่มเติม โดยที่บริษัทยังคงเจรจากับลูกค้าทั้งโรงพยาบาลภาครัฐและเอกชนในการขายและให้เช่าเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ต่างๆ อย่างต่อเนื่อง ซึ่งมั่นใจว่าหลังจากเข้าระดมในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) แล้วจะผลักดันให้บริษัทมีความสามารถและศักยภาพในการขยายธุรกิจสร้างการเติบโตในระยะยาวได้เพิ่มขึ้น

Back to top button