
จับตา “พรรคประชาชน” ถกโหวตนายก – ศูนย์วิจัยกสิกรไทยชี้ SET เคลื่อนไหวกรอบ 1,225–1,265 จุด
“พรรคประชาชน” ประชุม สส. บ่ายวันนี้ กำหนดทิศทางโหวตนายกฯ คนที่ 32 ขณะที่ “ศูนย์วิจัยกสิกรไทย” ประเมิน SET เคลื่อนไหวกรอบ 1,225–1,265 จุด นักลงทุนจับตาการเมืองในประเทศควบคู่ปัจจัยเศรษฐกิจโลก
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (1 ก.ย. 2568) เวลา 13:00 น. ที่อาคารอนาคตใหม่ ซอยรามคำแหง 42 พรรคประชาชน นำโดยนายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรค จะประชุมสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและตัดสินใจ กรณีการโหวตนายกรัฐมนตรี ตามเงื่อนไขที่พรรคเสนอ
โดยพรรคประชาชน ซึ่งมี สส. 143 คน มากที่สุดในสภาผู้แทนราษฎร ได้ตั้งเงื่อนไขในการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี คนที่ 32 ภายหลังศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยให้นางสาวแพทองธาร ชินวัตร พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี จากกรณีคลิปเสียง โดยกำหนดเงื่อนไขว่า นายกรัฐมนตรีต้องยุบสภาภายใน 4 เดือน เพื่อให้มีการเลือกตั้งใหม่ พร้อมจัดให้มีการออกเสียงประชามติ ตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญที่มาจากการเลือกตั้ง และจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2568 นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ประกาศจัดตั้งรัฐบาล โดยยืนยันว่า รับข้อเสนอของพรรคประชาชนครบทุกข้อ ขณะที่เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2568 นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรี พาแกนนำพรรคเพื่อไทยและพรรคร่วมรัฐบาลเดิมบางส่วน เดินทางไปที่พรรคประชาชน และออกมายืนยันเช่นเดียวกันว่า สามารถรับเงื่อนไขทั้งหมดของพรรคประชาชนได้
“พริษฐ์” รับลำบากใจเลือกขั้วใด – ชูฝ่ายค้านคุมเกมด้วยกลไกสัญญา
นายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อและโฆษกพรรคประชาชน เปิดเผยผ่านรายการ เจาะลึกทั่วไทย Inside Thailand ว่า ตอนนี้มีสองกลุ่มพยายามจัดตั้งรัฐบาล โดย ณ เวลานี้ ถ้าไม่มีกลุ่มใดสามารถรวบรวมเสียงได้เกินกึ่งหนึ่งของสภาผู้แทนราษฎร 246 เสียง พรรคประชาชนจะพยายามใช้ สส. 143 คน ให้การทำให้กระบวนการเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่นำไปสู่การเลือกตั้งใหม่โดยเร็วที่สุด จึงเป็นเหตุผลที่มีเงื่อนไข 3 ข้อของพรรคประชาชน คือ ยุบสภาภายใน 4 เดือน จัดให้มีการออกเสียงประชามติ โดยสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) ที่มาจากการเลือกตั้ง และจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
นายพริษฐ์ กล่าวว่า โดยเงื่อนไขหนึ่งที่พรรคประชาชนจะทำหน้าที่ฝ่ายค้านต่อไป จะทำให้มี “อาวุธ” ในการควบคุมกลุ่มคนเหล่านี้รักษาสัญญาได้ “ถ้าเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย เบี้ยวเมื่อไหร่ เปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจก็ล้มได้ทันที”
เมื่อถูกถามว่า “จุดตัดสิน” ของพรรคประชาชนคืออะไร นายพริษฐ์ กล่าวว่า จากท่าทีของพรรคเพื่อไทยและพรรคภูมิใจไทย ที่รับเงื่อนไขได้ทั้งคู่จะเป็นหัวข้อหลักที่คุยในพรรควันนี้ แต่สิ่งที่ตนสามารถบอกได้ตอนนี้ คือ “ลำบากใจทั้งคู่”
โฆษกพรรคประชาชน กล่าวต่อว่า แต่ถ้าเราไม่เลือกใครเลย สิ่งที่จะเกิดขึ้น “แดง-น้ำเงิน” อาจจะกลับไปรวมกันและตั้งรัฐบาลขึ้นมา ซึ่งอาจจะอยู่ยาวถึง 2 ปี โดยจะเป็น 2 ปีที่แก้ปัญหาอะไรไม่ได้เลย และคดีความต่าง ๆ ที่หลายคนตั้งข้อสงสัยจะยังเป็นข้อต่อรองทางการเมืองต่อไป หรืออีกทางหนึ่งถ้า “แดง-น้ำเงิน” กลับไปรวมกันไม่ได้ อาจจะมีนายกรัฐมนตรีที่เป็นอดีตหัวหน้ารัฐประหาร หรือนายกรัฐมนตรีที่มาจากนอกระบอบประชาธิปไตย
“ขั้นตอนแรกแม้หนักใจแต่เราต้องการกระบวนการนี้เพื่อนำไปสู่การเลือกตั้งใหม่โดยเร็ว และป้องกันสถานการณ์เมื่อสักครู่ที่ผมคิดว่าจะไม่ส่งผลดีกับประเทศ …สิ่งที่พรรคประชาชนยึดถือคือกลไกการรักษาสัญญา แต่มันอยู่บนฐานของความไม่ไว้วางใจทั้งคู่” นายพริษฐ์ ระบุ
อย่างไรก็ตาม นายพริษฐ์ ชี้ว่า ต้องตรวจสอบให้แน่ชัดว่าแต่ละฝ่ายเข้าใจ “3 เงื่อนไข” ของพรรคประชาชนถ่องแท้เพียงใด เพราะแม้ทั้งสองกลุ่มประกาศตอบรับ แต่ในรายละเอียดมีความต่างกัน เช่น พรรคภูมิใจไทย ในแถลงการณ์มีการพูดถึงว่า ตอบรับเงื่อนไข พูดถึง สสร. แต่ไม่ได้ย้ำเรื่องที่มาว่า สสร. ต้องมาจาการเลือกตั้ง ส่วนฝั่งของพรรคเพื่อไทยที่โพสต์เมื่อช่วงเช้าวานนี้ (31 ส.ค.68) ระบุว่า ต้องการให้จัดประชามติและถามประชาชนว่า จะนำรัฐธรรมนูญ ฉบับปี 2540 มาใช้แทนรัฐธรรมนูญ ปี 2560 หรือไม่ ซึ่งข้อเสนอนี้ไม่ตรงกับข้อเสนอของพรรคประชาชน
นอกจากนี้ นายพริษฐ์ ยังกล่าวว่า ต้องพิจารณา “สภาวะเรื่องการรักษาสัญญา” ซึ่งไม่ได้ขึ้นอยู่กับการไว้วางใจบุคคลใดบุคคลหนึ่ง แต่ขึ้นอยู่กับปัจจัยโดยรวม โดยหากมี “รัฐบาลเสียงข้างน้อย” เกิดขึ้น กลไกการอภิปรายไม่ไว้วางใจที่พรรคประชาชนถืออยู่ในฐานะแกนนำฝ่ายค้าน จะเป็นเครื่องมือสำคัญในการบังคับให้รัฐบาลปฏิบัติตามสัญญา
ทั้งนี้ นายพริษฐ์ ย้ำว่าจะนำข้อมูลเข้าสู่การประชุม สส. ในวันนี้ โดยมีทั้งเครือข่าย, พนักงานพรรคและกรรมการบริหารบางส่วนเข้าร่วมด้วย แต่ยังไม่ยืนยันว่าจะได้ข้อสรุปหรือไม่ เนื่องจากคาดว่าจะมีความเห็นที่หลากหลาย
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมิน SET สัปดาห์นี้เคลื่อนไหวกรอบ 1,225–1,265 จุด
ด้านศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินแนวโน้มดัชนีหุ้นไทยในสัปดาห์นี้ (วันที่ 1–5 กันยายน 2568) เคลื่อนไหวในกรอบแนวรับที่ 1,225 และ 1,200 จุด ส่วนแนวต้านอยู่ที่ 1,245 และ 1,265 จุด โดยมีปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ตัวเลขเงินเฟ้อเดือนสิงหาคมของไทย, สถานการณ์การเมืองในประเทศ และทิศทางเงินทุนเคลื่อนย้ายจากต่างชาติ
สำหรับปัจจัยต่างประเทศ ตลาดยังรอติดตามข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกา อาทิ ดัชนี PMI/ISM ภาคการผลิตและบริการ ข้อมูลการจ้างงานนอกภาคเกษตรและอัตราการว่างงานเดือนสิงหาคม รวมถึงจำนวนผู้ขอสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ ขณะเดียวกัน ยุโรปและจีน เตรียมประกาศดัชนี PMI เดือนสิงหาคม ส่วนญี่ปุ่นจะรายงานตัวเลขเงินเฟ้อผู้บริโภคเดือนกรกฎาคม และยูโรโซนจะเปิดเผยจีดีพีไตรมาส 2/2568