“โอเปกพลัส” เพิ่มกำลังผลิต พ.ย. อีก 1.37 แสนบาร์เรล หวั่นอุปทานล้นตลาด

กลุ่มโอเปกพลัส (OPEC+) ประกาศเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันดิบ 137,000 บาร์เรลต่อวัน เริ่มเดือนพฤศจิกายนนี้ รักษาท่าทีระมัดระวังต่อภาวะน้ำมันล้นตลาด หลังเพิ่มกำลังผลิตสะสมกว่า 2.7 ล้านบาร์เรลในปีนี้


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันอาทิตย์ (5 ต.ค.68) กลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมันและพันธมิตร หรือ โอเปกพลัส (OPEC+) ซึ่งประกอบด้วยประเทศสมาชิก OPEC รัสเซีย และผู้ผลิตรายเล็กอื่น ๆ ประกาศเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันดิบ 137,000 บาร์เรลต่อวัน (bpd) เริ่มตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนนี้ โดยยังคงระดับการเพิ่มที่ “จำกัด” เช่นเดียวกับเดือนตุลาคมที่ผ่านมา สะท้อนท่าทีระมัดระวังของกลุ่มต่อภาวะอุปทานน้ำมันส่วนเกินในตลาดโลก

การเพิ่มกำลังการผลิตดังกล่าวมีเป้าหมายเพื่อปรับสมดุลตลาดและรักษาเสถียรภาพของราคา หลังจากตลอดปีนี้ได้เพิ่มเป้าหมายการผลิตรวมแล้วกว่า 2.7 ล้านบาร์เรลต่อวัน หรือคิดเป็นราว 2.5% ของความต้องการใช้น้ำมันทั่วโลก

การเปลี่ยนนโยบายจากช่วงหลายปีที่ลดกำลังการผลิต มุ่งหวังให้กลุ่มกลับมาชิงส่วนแบ่งตลาดจากผู้ผลิตน้ำมันเชลล์ของสหรัฐฯ ซึ่งเพิ่มการผลิตอย่างต่อเนื่อง ขณะที่เศรษฐกิจโลกชะลอตัวและอุปสงค์พลังงานยังไม่ฟื้นเต็มที่

รายงานจากสำนักข่าวรอยเตอร์(Reuters) ระบุว่า ในการประชุมครั้งนี้ รัสเซียสนับสนุนแนวทางเพิ่มการผลิตในระดับเดิมจากเดือนตุลาคม เพื่อหลีกเลี่ยงแรงกดดันต่อราคา เนื่องจากยังเผชิญข้อจำกัดจากมาตรการคว่ำบาตรเรื่องสงครามยูเครน

ขณะที่ ซาอุดีอาระเบียต้องการเพิ่มมากกว่า 2–4 เท่าของตัวเลขดังกล่าว เพื่อเร่งฟื้นส่วนแบ่งตลาดจากคู่แข่ง เพราะยังมีศักยภาพการผลิตสำรองสูง แต่สุดท้าย ที่ประชุมมีมติเลือกแนวทาง “ค่อยเป็นค่อยไป” โดยคงระดับเพิ่มเพียง 137,000 บาร์เรลต่อวัน

นักวิเคราะห์จาก TP ICAP Group ประเมินว่า ราคาน้ำมันอาจขยับขึ้นราว 1 ดอลลาร์/บาร์เรลในวันจันทร์ หลังปริมาณการเพิ่มผลิตของ OPEC+ ต่ำกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้

ทั้งนี้ การลดกำลังผลิตของ OPEC+ เคยสูงสุดในเดือนมีนาคมปีนี้รวม 5.85 ล้านบาร์เรลต่อวัน ประกอบด้วย การลดโดยสมัครใจ 2.2 ล้านบาร์เรลต่อวัน และการลดโดยสมาชิก 8 ประเทศอีก 1.65 ล้านบาร์เรล ซึ่งเริ่มทยอยยกเลิกมาตรการดังกล่าวตั้งแต่เดือนตุลาคมนี้ และจะประชุมอีกครั้งวันที่ 2 พฤศจิกายน 2568 เพื่อกำหนดทิศทางการผลิตรอบถัดไป

สำหรับประเทศไทย นักเศรษฐศาสตร์ คาดว่า หากราคาน้ำมันทรงตัวในช่วง 60–70 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล จะช่วยชะลอแรงกดดันเงินเฟ้อ และลดภาระงบอุดหนุนพลังงานของภาครัฐในระยะสั้น แต่ต้องติดตามท่าทีของซาอุดีอาระเบียและรัสเซียในการประชุมเดือนพฤศจิกายน ซึ่งอาจเป็นตัวแปรสำคัญต่อทิศทางราคาน้ำมันปลายปีนี้

Back to top button