
ลุ้นวันนี้! นายก ถกแผนกระตุ้นเศรษฐกิจ – เคาะชะตา “เงินหมื่นวัยรุ่น”
รัฐบาลเตรียมปรับแผนใช้เงิน 1.57 แสนล้าน เคาะทิศทาง “ดิจิทัลวอลเล็ต” เฟส 3 กลุ่มวัยรุ่น หลังเศรษฐกิจโลกสั่นสะเทือนจากภาษีทรัมป์
วันนี้ (19 พ.ค.68) เวลา 15.30 น. นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ครั้งที่ 2/2568 ณ ตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล โดยมีวาระสำคัญคือ การทบทวนแผนการใช้จ่ายงบประมาณ 1.57 แสนล้านบาท ซึ่งเดิมจัดสรรไว้สำหรับ โครงการเติมเงิน 10,000 บาทผ่าน “ดิจิทัลวอลเล็ต” หนึ่งในนโยบายเรือธงของรัฐบาลเพื่อไทย แต่ภายใต้บริบทเศรษฐกิจโลกที่เปลี่ยนไป โดยเฉพาะหลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศขึ้นภาษีศุลกากรสินค้าไทยสูงถึง 36% ทำให้รัฐบาลต้องเร่งประเมินและกำหนดแนวทางการใช้จ่ายใหม่อย่างเร่งด่วน
การประชุมครั้งนี้จึงถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของแนวทางกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 โดยเฉพาะภายใต้เงื่อนไขสำคัญว่า งบประมาณก้อนนี้ต้องสามารถเบิกจ่ายและใช้จ่ายได้หมด ภายในเดือนกันยายน 2568 เพื่อส่งผลกระตุ้นเศรษฐกิจได้ทันในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญแรงกดดันรอบด้าน
นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง เปิดเผยก่อนหน้านี้ว่า กระทรวงการคลังได้รับมอบหมายจากรัฐบาลให้ทำงานร่วมกับสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) และสำนักงบประมาณ เพื่อจัดทำแผนจัดสรรงบใหม่ โดยเน้นการใช้จ่ายที่ตรงจุด-ตรงกลุ่ม และเห็นผลได้จริงภายในระยะเวลาอันสั้น เช่น การลงทุนในโครงการขนาดเล็กที่สามารถดำเนินการได้ภายใน 4-5 เดือน รวมถึงมาตรการช่วยเหลือกลุ่มอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีของสหรัฐ โดยงบก้อนนี้ต้องเป็นกลไกพยุงเศรษฐกิจในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ หากไม่เพียงพอเชื่อว่ารัฐบาลมีความยืดหยุ่นในการพิจารณาใช้วงเงินอื่นเพิ่มเติม
“ดิจิทัลวอลเล็ต” ดำเนินแล้ว 2 เฟส – ลุ้นเฟส 3 และ 4
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า โครงการแจกเงิน 10,000 บาทผ่านดิจิทัลวอลเล็ตของรัฐบาลชุดนี้ ได้ดำเนินการมาแล้ว 2 เฟส ได้แก่
เฟส 1 กลุ่มเปราะบาง เช่น ผู้พิการและผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ
- ดำเนินการช่วง 25–30 กันยายน 2567
- ผู้ได้รับสิทธิประมาณ 14.5 ล้านคน
- ใช้งบประมาณประมาณ 145,000 ล้านบาท
เฟส 2 กลุ่มผู้สูงอายุ อายุ 60 ปีขึ้นไป
- เริ่มโอนเงินตั้งแต่ 27 มกราคม 2568
- ผู้ได้รับสิทธิประมาณ 3-4 ล้านคน
- ใช้งบประมาณประมาณ 35,000-40,000 ล้านบาท
สำหรับเฟส 3 ซึ่งมุ่งเป้ากลุ่มวัยรุ่นอายุ 16-20 ปี หรือที่เรียกกันว่า “เฟสวัยรุ่น” ได้ผ่านความเห็นชอบหลักการจากบอร์ดชุดนี้แล้ว แต่ยังไม่เข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี (ครม.)
- คาดว่าจะมีผู้ได้รับสิทธิประมาณ 2.7 ล้านคน
- ใช้งบประมาณราว 27,000 ล้านบาท
ขณะที่เฟสสุดท้าย (เฟส 4) ซึ่งเป็นกลุ่มใหญ่ที่สุด ได้แก่ ประชาชนทั่วไป อายุ 21-59 ปี จำนวนกว่า 33 ล้านคน ยังอยู่ระหว่างการพิจารณาทิศทาง โดยจะต้องรอผลการประชุมในวันนี้ว่า รัฐบาลจะเดินหน้าโครงการในรูปแบบเดิม หรือจะมีการปรับเปลี่ยนใหม่ให้เหมาะสมกับข้อจำกัดทางเศรษฐกิจที่เปลี่ยนไป