
“บีโอไอ” หนุนสิทธิพิเศษย้ายฐานผลิตกัมพูชา–ไฟเขียวลงทุน 2.6 หมื่นล้านบาท
บอร์ดบีโอไอ เห็นชอบมาตรการพิเศษหนุนสิทธิประโยชน์นักลงทุนไทยและต่างชาติ ที่ได้รับผลกระทบจากปิดด่านชายแดนไทย-กัมพูชา เปิดทางย้ายฐานการผลิตเข้า พร้อมอนุมัติ 4 โครงการลงทุนใหญ่ มูลค่ารวมกว่า 26,800 ล้านบาท
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (8 ส.ค.68) นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยผลการประชุมบอร์ดบีโอไอ ซึ่งมีนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธาน ได้เห็นชอบ “มาตรการส่งเสริมการลงทุนกรณีได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา” เพื่อช่วยเหลือนักลงทุนทั้งไทยและต่างชาติ ที่ได้รับผลกระทบจากการปิดด่านพรมแดนไทย-กัมพูชา จนต้องเปลี่ยนเส้นทางหรือรูปแบบการขนส่งสินค้า ทำให้ต้องใช้เวลาขนส่งนานขึ้นหลายเท่าและต้องแบกรับต้นทุนโลจิสติกส์ที่เพิ่มสูงขึ้นมาก
ก่อนหน้านี้ บีโอไอได้หารือกับกลุ่มนักลงทุน และพบว่ามีหลายบริษัทที่ผูกซัพพลายเชนระหว่างไทย–กัมพูชา เช่น โรงงานในไทยส่งวัตถุดิบไปประกอบบางส่วนในกัมพูชา ก่อนส่งกลับมาไทยเพื่อผลิตชิ้นส่วนที่ซับซ้อน หรือสินค้าสำเร็จรูป ตรวจสอบและจัดชุด ก่อนกระจายให้ลูกค้าในและต่างประเทศ ผ่านศูนย์กระจายสินค้าในไทย การปิดด่านชายแดนทำให้ต้องเปลี่ยนเส้นทางขนส่งผ่านเวียดนามหรือ สปป.ลาว หรือหันมาใช้ทางเรือและทางอากาศที่มีข้อจำกัดด้านเวลาและต้นทุนสูงขึ้น อีกทั้งยังเพิ่มภาระบริหารสต็อกวัตถุดิบและสินค้าในภาวะไม่แน่นอนสูง กระทบต่อเนื่องไปยังอุตสาหกรรมที่ต้องใช้ชิ้นส่วนจากโรงงานเหล่านี้ โดยเฉพาะยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ และเครื่องใช้ไฟฟ้า ส่งผลให้นักลงทุนหลายรายแจ้งบีโอไอถึงความจำเป็นต้องเร่งย้ายฐานผลิตหรือเครื่องจักรบางส่วนกลับไทยโดยเร็วที่สุด
มาตรการนี้ให้สิทธิประโยชน์ยกเว้นอากรขาเข้าเครื่องจักรใช้แล้วในทุกกรณี และให้นับเงินลงทุนในเครื่องจักรใช้แล้วที่มีอายุไม่เกิน 10 ปี เป็นวงเงินยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 100% ของมูลค่าลงทุน ส่วนสิทธิประโยชน์อื่นให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ทั่วไป
สำหรับกรณีย้ายเครื่องจักรบางส่วนมาใช้งานร่วมกับโครงการที่ได้รับส่งเสริมการลงทุนเดิม หากสิ้นสุดระยะเวลานำเข้าเครื่องจักรแล้ว บีโอไอจะอนุญาตให้นำเข้าเฉพาะเครื่องจักรที่ย้ายจากกัมพูชา ภายใน 1 ปี นับจากวันที่ยื่นขอแก้ไขโครงการ ทั้งนี้ นักลงทุนต้องเสนอแผนการย้ายฐานผลิตจากกัมพูชาและยื่นคำขอภายในสิ้นปี 2569
นอกจากนี้ บอร์ดบีโอไอยังอนุมัติให้ส่งเสริมการลงทุน 4 โครงการใหญ่ มูลค่าลงทุนรวม 26,891 ล้านบาท ได้แก่
- บริษัท เพอร์เฟค คอมพาเนียน กรุ๊ป จำกัด ดำเนินธุรกิจผลิตอาหารสัตว์เลี้ยง เช่น อาหารแมว ภายใต้แบรนด์สมาร์ทฮาร์ทและมี-โอ ตั้งอยู่ในเขตอุตสาหกรรมของบริษัท เอ็ม. ไทย เอสเตท จำกัด จ.สมุทรปราการ มูลค่าลงทุน 3,536 ล้านบาท
- บริษัท วายุ เพาเวอร์ จำกัด ผู้ผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลม จ.ชัยภูมิ มูลค่าลงทุน 3,834 ล้านบาท จำหน่ายไฟฟ้าให้กับ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ขนาด 78 เมกะวัตต์
- บริษัท อีสานพลังงานสะอาด จำกัด ผู้ผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลม จ.มุกดาหาร มูลค่าลงทุน 6,504 ล้านบาท จำหน่ายไฟฟ้าให้กับ กฟผ. ขนาด 90 เมกะวัตต์
- บริษัท ซิง ต๋า สตีล คอร์ด (ไทยแลนด์) จำกัด ผู้ผลิตลวดเหล็กทนแรงดึงสูง (Ultimate Tensile Strength) วัตถุดิบสำหรับยางล้อรถยนต์เท่านั้น ซึ่งบริษัทแม่ Xingda เป็นผู้ผลิตลวดเสริมยางล้อ อันดับ 5 ของโลก ตั้งอยู่ในสวนอุตสาหกรรมโรจนะ จ.ชลบุรี มูลค่าลงทุน 13,017 ล้านบาท มีแผนจ้างแรงงานไทยกว่า 1,400 คน