“กมธ.การเงิน สภา” จี้ “ก.ล.ต.–ตลท.” สางปัญหา CV ปมเงินมัดจำ หลังผู้บริหารไม่เข้าชี้แจง

คณะกรรมาธิการการเงิน การคลัง สภาผู้แทนราษฎร เรียก 7 หน่วยงานเข้าชี้แจงปมธรรมาภิบาล บมจ.โคลเวอร์ เพาเวอร์ หรือ CV แต่ผู้บริหารไม่ปรากฏตัว ขณะที่ ก.ล.ต.–ตลท. ถูกกดดันให้เร่งสางปัญหาเงินมัดจำ พร้อมจัดทำไทม์ไลน์และรายงานผลเป็นลายลักษณ์อักษร


ผู้สื่อข่าวรายงานจากอาคารรัฐสภาว่า วันนี้ (10 ก.ย.68) นายนพพล เหลืองนารา สส.พิษณุโลก พรรคเพื่อไทย ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการการเงิน การคลัง สถาบันการเงินและตลาดการเงิน สภาผู้แทนราษฎร เปิดเผยผลการประชุมพิจารณา ปัญหาธรรมาภิบาลตลาดทุนและการกำกับดูแลกิจการของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ กรณีบริษัท โคลเวอร์ เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ CV ซึ่งเริ่มประชุมตั้งแต่เวลา 09:30-12:30 น.

สำหรับกรณีของ บลจ.โคลเวอร์ เพาเวอร์ ที่ถูกนำเข้าพิจารณาเนื่องจากได้รับการร้องเรียนจากผู้ถือหุ้นกู้และนักลงทุนรายย่อยเกี่ยวกับปัญหาการบริหารจัดการและธรรมาภิบาลของบริษัท โดยเฉพาะกรณีการจ่ายเงินมัดจำเพื่อเข้าซื้อหุ้นของบริษัท Fairview และ WTX รวมมูลค่ากว่า 400 ล้านบาท แต่ภายหลังบริษัทประกาศยกเลิกการเข้าซื้อหุ้นดังกล่าว และจนถึงปัจจุบันยังไม่มีความชัดเจนเกี่ยวกับการคืนเงินมัดจำ ส่งผลให้ผู้ลงทุนเกิดความกังวลว่าจะได้รับความเสียหาย

นายนพพล กล่าวว่า กรรมาธิการได้เชิญหน่วยงาน บริษัทเอกชน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวม 7 หน่วยงานเข้าร่วมประชุม แต่มีเพียง 3 หน่วยงานที่ส่งตัวแทนมาพบ ประกอบด้วย เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.), กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) และนายกสภาวิชาชีพบัญชี

ส่วนอีก 3 หน่วยงาน ได้แก่ นายกสมาคมส่งเสริมผู้ลงทุนไทย, ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.โคลเวอร์ เพาเวอร์ และประธานบริษัท ดีลอยท์ ทู้ช โธมัทสุ ไชยยศ สอบบัญชี จำกัด ไม่ได้ส่งตัวแทนมา แต่ส่งหนังสือ ชี้แจงว่าเหตุผลว่าติดภารกิจ ไม่สามารถมาประชุมวันนี้ได้ ขณะที่ ประธานกรรมการบริษัท เวสท์เทค เอ็กซ์โพเนนเชียล จำกัด (WTX) ไม่ได้ตอบกลับใด ๆ

นายนพพล กล่าวเพิ่มเติมว่า หนังสือชี้แจงของประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.โคลเวอร์ เพาเวอร์ ระบุว่า เตรียมเนื้อหาไม่ทัน เนื่องจากกรรมาธิการขอให้จัดเตรียมเอกสารจำนวน 40 ชุด และเพิ่งได้รับหนังสือจากกรรมาธิการเมื่อช่วงเย็นวันที่ 8 กันยายน 2568

นายนพพล กล่าวต่อว่า เมื่อฝ่ายโคลเวอร์ เพาเวอร์ ไม่มาประชุม ทำให้เหมือนเป็นการปักปำ กรรมาธิการจึงสอบถามว่า เหตุการณ์เหล่านี้ หากมีเล่ห์กลจริง ผู้ลงทุนรายย่อยก็เหมือนถูกสับขาหลอก ไม่ได้รับการเปิดเผยข้อมูลที่แท้จริง ก.ล.ต., ตลท. และสภาวิชาชีพบัญชี ควรมีมาตรการกำกับดูแลที่เข้มงวดกว่านี้ แต่จากที่ฟังการชี้แจงยังรู้สึกว่าขาดความเข้มงวดเพียงพอ แม้หน่วยงานยืนยันว่าทำเต็มที่ แต่ก็ยังมีหลายประเด็นที่ต้องปรับปรุงแก้ไข

นายนพพล กล่าวว่า ผู้ลงทุนรายย่อยเวลาจะตัดสินใจลงทุนต้องอาศัยงบการเงิน หากมาตรฐานการสอบบัญชีไม่เข้มพอ ก็ไม่สามารถเข้าถึงข้อเท็จจริงได้ลึกซึ้ง อีกทั้งยังมีประเด็นราคาหุ้นโคลเวอร์ เพาเวอร์ตั้งแต่เข้าตลาดหลักทรัพย์ปี 2564 ราคาหุ้นไม่เคยปรับขึ้น จนกระทั่งลดลงจากระดับกว่า 8 บาท เหลือเพียง 0.03 บาท ทำไม ก.ล.ต. จึงไม่เอ๊ะใจ ทั้งที่บริษัทส่งงบการเงินล่าช้า

นอกจากนี้ ผู้สอบบัญชีของโคลเวอร์ เพาเวอร์ กับ STARK เป็นรายเดียวกัน ซึ่งทั้งสองบริษัทมีปัญหา กรรมาธิการจึงเห็นว่าควรตรวจสอบอย่างละเอียดมากขึ้น เพราะมีประวัติให้เห็นแล้ว

กรรมาธิการ จึงมอบหมายให้ ก.ล.ต. และ ตลท. รวบรวมข้อมูล รวมทั้งไทม์ไลน์ และขอให้ตอบกลับมาเป็นลายลักษณ์อักษรโดยเร็วว่า เหตุใดจึงปล่อยให้เวลาผ่านไปเช่นนี้ และเหตุใดจึงปล่อยให้บริษัทดำเนินการโดยไม่มีการ ทั้งนี้เมื่อได้รับคำชี้แจงแล้ว กรรมาธิการจะนำมาพิจารณาอีกครั้ง และอาจมีการเรียกเข้ามาเพิ่มเติม เนื่องจากเรื่องนี้เป็นที่สนใจของประชาชนและผู้ลงทุน สมควรหาข้อยุติให้ได้

สำหรับบริษัทเอกชน กรรมาธิการจะพยายามประสานงานและขอให้เข้ามาชี้แจง แม้ว่าอาจติดต่อได้ยาก แต่จำเป็นต้องขอความร่วมมือ นอกจากนี้ ยังมีประเด็นที่โคลเวอร์ เพาเวอร์ มีบริษัทย่อยที่ถือหุ้น 100% คือโรงไฟฟ้าชีวมวลที่อำเภอพรหมพิราม จังหวัดพิษณุโลก ซึ่งตนเพิ่งทราบว่าอยู่ในพื้นที่ และมีข้อสงสัยเช่นกัน เพราะบริษัทย่อยแห่งนี้มีการหยุดดำเนินกิจการมาราว 1 ปี ขณะที่ โคลเวอร์ เพาเวอร์ มีบริษัทย่อยรวม 4-5 แห่ง

ผู้สื่อข่าวถามว่า ขณะนี้ บมจ.โคลเวอร์ เพาเวอร์ ยังไม่ได้รับเงินมัดจำคืนใช่หรือไม่ นายนพพล กล่าวว่า จากที่ฟังการชี้แจงวันนี้ยังไม่ชัดเจน โดยหน่วยงานที่มาชี้แจงใช้คำว่า “อยู่ระหว่างดำเนินการ” อย่างไรก็ตามส่วนตัวเชื่อว่า ก.ล.ต. และ ตลท. น่าจะทราบรายละเอียดทั้งหมด

กรรมาธิการยังได้ถามถึง “เงินมัดจำ 100%” ว่า หากจ่ายเต็มจำนวน 100% จะยังเรียกว่ามัดจำหรือไม่ เพราะลักษณะเหมือนเป็นการซื้อขายแล้ว และไม่ได้เรียกเงินคืน ซึ่งก็ได้รับคำตอบว่า “กำลังดำเนินการ” เช่นเดียวกัน โดยหน่วยงานที่มาชี้แจงย้ำว่าอยู่ระหว่างตรวจสอบ

ขณะที่ตัวแทนสภาวิชาชีพบัญชี กรรมาธิการได้สอบถามว่า เหตุใดจึงไม่มีคอมเมนต์ใด ๆ ต่อบริษัท แต่ได้รับคำตอบว่า “ดำเนินมาอย่างนี้” ซึ่งตนเห็นว่าไม่น่าจะเป็นเช่นนั้น และยังกล่าวว่า “มันน่าหัวเราะนะ มันไม่น่าจะใช่อย่างนี้ แล้วผู้ถือหุ้นรายย่อยจะหาความมั่นใจได้จากไหน” นอกจากนี้ ยังมีประเด็นเรื่องระยะเวลา เนื่องจากเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2566 จนถึงขณะนี้เป็นปี 2568 แล้ว

ผู้สื่อข่าวถามว่า กังวลหรือไม่ว่าเรื่องนี้จะเป็นเหมือนกรณี STARK นายนพพล ยอมรับว่า กรรมาธิการมีความกังวลว่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้ลงทุน ก่อนหน้านี้รัฐบาลนางสาวแพทองธาร ชินวัตร เตรียมออกพระราชกฤษฎีกาแก้ไขกฎหมายตลาดหลักทรัพย์ เพื่อสร้างมาตรฐานและความมั่นใจให้ผู้ลงทุนรายย่อย แต่ยังไม่ทันได้ออกมา

ทั้งนี้ หากผู้สอบบัญชีไม่ปฏิบัติตามจรรยาบรรณอย่างเคร่งครัด ก็จำเป็นต้องมีกฎหมายเข้ามากำกับเพิ่มเติม โดยกรรมาธิการได้ขอให้ ก.ล.ต. ส่งรายละเอียดมาแล้ว แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยได้ทั้งหมด

“เราไม่อยากให้เกิดความเสียหายแบบนี้อีก เหมือนกรณี STARK ที่สร้างความเสียหายไว้มาก แม้กรณีนี้จะเป็นมูลค่าเพียงหลักร้อยล้านบาท แต่ก็ไม่ควรเกิดขึ้น หลายอย่าง ก.ล.ต. และ ตลท. สามารถสกรีน เพื่อคุ้มครองผู้ลงทุนรายย่อยได้ และความรวดเร็วก็สามารถหยุดยั้งความเสียหายได้” นายนพพล ระบุ

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง :

ซีอีโอ CV เตรียมชิ่ง “กมธ.การเงิน“ หลังถูกเรียกแจงพฤติการณ์ปม “ธรรมาภิบาล” 10 ก.ย.นี้

Back to top button