“เศรษฐพุฒิ” แจงเก็บภาษีทองแค่แนวคิด ยันบาทแข็งค่าเกินพื้นฐานเศรษฐกิจ

ผู้ว่าการ ธปท. เผยกำลังหารือแนวทางลดผลกระทบทองคำต่อค่าเงิน เล็งเก็บภาษี–ซื้อขายด้วยดอลลาร์ ชี้บาทแข็ง 7% ไม่สอดคล้องพื้นฐานเศรษฐกิจ


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวในงาน “Meet the Press” เนื่องในโอกาสใกล้ครบวาระการดำรงตำแหน่ง ซึ่งจะสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2568 ยอมรับว่า การประชุมระหว่าง ธปท. กับสมาคมผู้ค้าทองคำ เมื่อวันที่ 15 กันยายนที่ผ่านมา เพื่อร่วมกันหาแนวทางลดผลกระทบของการค้าทองคำที่จะมีต่อค่าเงินนั้น หนึ่งในแนวทางที่หยิบยกขึ้นมาหารือคือการเก็บภาษีทองคำ รวมถึงการซื้อขายทองคำด้วยสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ เพื่อลดผลกระทบที่จะมีต่อค่าเงินบาท

อย่างไรก็ดี การตัดสินใจจะต้องมีการหารือกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องอย่างรอบคอบ เนื่องจากการซื้อขายทองคำมีผลกระทบต่อหลายฝ่าย ขณะนี้ยังอยู่ในขั้นตอนการหารือ ซึ่งต้องใช้เวลาอีกระยะ โดยเป็นประเด็นที่มีการพูดถึงมาอย่างต่อเนื่อง

“การซื้อขายทองคำกระทบกับหลายคน หลายแวดวง และต้องหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้มีมาตรการที่เหมาะสม” ผู้ว่าการ ธปท. ระบุ

นายเศรษฐพุฒิ กล่าวถึงข้อสังเกตเรื่องการส่งออกทองคำ อาจส่งผลให้เงินบาทแข็งค่า และอาจเชื่อมโยงธุรกิจสีเทาว่า ข้อมูลเป็นไปตามที่กรมศุลกากรชี้แจง แต่จะเชื่อมโยงกับธุรกิจสีเทาหรือไม่นั้น ธปท. ไม่สามารถตอบได้ อย่างไรก็ดี ธปท. ได้แสดงความเป็นห่วงและได้ประสานงานสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ป.ป.ง.) ให้ช่วยตรวจสอบว่ามีความเกี่ยวโยงกับข้อกังวลของภาคเอกชนหรือไม่

ผู้ว่าการ ธปท. กล่าวเพิ่มเติมว่า ตั้งแต่ต้นปี 2568 จนถึงปัจจุบัน พบว่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นแล้ว 7% ซึ่งเป็นการแข็งค่าที่ไม่สอดคล้องกับพื้นฐานเศรษฐกิจ การที่เงินบาทแข็งค่ามากกว่าสกุลเงินอื่นในภูมิภาค นอกจากได้รับแรงหนุนจากการอ่อนค่าของดอลลาร์สหรัฐแล้ว ยังมีปัจจัยจากราคาทองคำที่มีความสัมพันธ์กับค่าเงินบาทมากกว่าสกุลเงินอื่น ทำให้เมื่อราคาทองคำปรับขึ้น ค่าเงินบาทจึงแข็งค่ามากกว่าสกุลเงินอื่นในภูมิภาค

Back to top button