ดัชนีเชื่อมั่นอุตสาหกรรม ส.ค. ลดเหลือ 86.4 ส.อ.ท. หวัง “คนละครึ่ง” พยุงกำลังซื้อปลายปี

ส.อ.ท. เผยดัชนีเชื่อมั่นอุตสาหกรรม เดือนสิงหาคมลดลงต่อเนื่องเหลือ 86.4 ทั้งปัจจัยการเมือง–ปิดด่านกัมพูชา–ภาษีสหรัฐฯ รุมเร้า หวังโครงการ “คนละครึ่ง” ช่วยหนุนกำลังซื้อปลายปีนี้


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (17 ก.ย.68) นายนาวา จันทนสุรคน รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) พร้อมด้วย นางสาวบัญชุสา พุทธพรมงคล กรรมการสภาอุตสาหกรรมฯ และรองประธานสายงานเศรษฐกิจและวิชาการ ส.อ.ท. เปิดเผยว่า ผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม เดือนสิงหาคม 2568 อยู่ที่ระดับ 86.4 ลดลงจากระดับ 86.6 ในเดือนกรกฎาคม 2568

ส.อ.ท. ระบุว่า การปรับตัวลดลงดังกล่าวมีสาเหตุจากหลายปัจจัย ได้แก่ ความไม่แน่นอนทางการเมือง ภายหลังศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยให้สถานะนายกรัฐมนตรีสิ้นสุดลง รวมถึงการเบิกจ่ายงบลงทุนที่ยังต่ำกว่าเป้าหมาย โดยในช่วง 11 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2568 (ตุลาคม 2567–สิงหาคม 2568) การเบิกจ่ายยังล่าช้า

นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยกดดันจากความไม่ชัดเจนของภาษีสหรัฐฯ ทั้งเรื่อง Regional Value Content (RVC) และรายการสินค้าที่เปิดตลาด ส่งผลต่อภาคการส่งออก–นำเข้า ขณะที่สถานการณ์ปิดด่านชายแดนไทย–กัมพูชา กระทบมูลค่าการค้าชายแดนเดือนสิงหาคมกว่า 14,000 ล้านบาท เมื่อเทียบกับปีก่อน

ขณะเดียวกัน ปัญหาน้ำท่วมจากพายุโซนร้อน “คาจิกิ” ได้สร้างความเสียหายต่อการค้าและการเกษตรในภาคเหนือ ประกอบกับแรงงานกัมพูชาทยอยกลับประเทศ ส่งผลให้เกิดการขาดแคลนแรงงานในระยะสั้น โดยเฉพาะอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานเข้มข้น

อย่างไรก็ตาม เดือนสิงหาคมยังมีปัจจัยบวก ได้แก่ มติคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% เหลือ 1.50% ต่อปี ช่วยบรรเทาภาระผู้ประกอบการ ขณะเดียวกัน รัฐบาลอนุมัติงบกระตุ้นเศรษฐกิจ 18,500 ล้านบาท โดยจัดสรร 10,000 ล้านบาทเข้ากองทุนเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขัน และยอดขายรถยนต์ในประเทศมีแนวโน้มขยายตัว โดยเฉพาะกลุ่มรถยนต์ไฟฟ้า จากการจัดงาน BIG Motor Sale 2025

จากการสำรวจผู้ประกอบการ 1,350 ราย ครอบคลุม 47 กลุ่มอุตสาหกรรม พบว่าปัจจัยกังวลเพิ่มขึ้น ได้แก่ เศรษฐกิจในประเทศ 72.6% นโยบายภาครัฐ 60.4% และอัตราแลกเปลี่ยน (ผู้ส่งออก) 45.7% ส่วนปัจจัยกังวลลดลง ได้แก่ เศรษฐกิจโลก 61.0% การเข้าถึงสินเชื่อ 35.1% ราคาพลังงาน 32.4% และอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ 26.1%

สำหรับดัชนีความเชื่อมั่นคาดการณ์ 3 เดือนข้างหน้า อยู่ที่ระดับ 88.9 ลดลงจาก 89.2 ในเดือนกรกฎาคม เนื่องจากกังวลความล่าช้าในการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ ซึ่งอาจกระทบการดำเนินนโยบายสำคัญ เช่น การเจรจาภาษีกับสหรัฐฯ การแก้ปัญหาชายแดน และการฟื้นฟูเศรษฐกิจ อีกทั้งอุปสงค์จากต่างประเทศมีแนวโน้มลดลง ภายหลังมาตรการ Reciprocal Tariffs และความเสี่ยงถูกเก็บภาษี 40% จากความไม่ชัดเจนเรื่องสินค้าสวมสิทธิ์ (Transshipment) โดยเฉพาะในกลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้า

ทั้งนี้ ปัจจัยสนับสนุนที่ยังคงช่วยประคับประคองเศรษฐกิจ ได้แก่ โครงการคนละครึ่ง ที่จะช่วยบรรเทาภาระค่าครองชีพ กระตุ้นการใช้จ่าย และการฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยวในช่วง High season (พฤศจิกายน–ธันวาคม 2568)

ส.อ.ท. เสนอข้อแนะต่อภาครัฐ 4 ประการ ได้แก่

  1. เร่งหาข้อสรุปเรื่องเงื่อนไขภาษี Reciprocal Tariffs โดยเฉพาะ RVC และรายการสินค้าที่เปิดตลาดให้สหรัฐฯ เพื่อให้ผู้ประกอบการเตรียมพร้อม
  2. เร่งรัดเบิกจ่ายงบลงทุนในช่วงที่เหลือของปีงบประมาณ 2568 และเตรียมความพร้อมสำหรับงบปี 2569
  3. ออกมาตรการช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากการปิดด่านชายแดนไทย–กัมพูชา อย่างเป็นรูปธรรม เช่น ให้สามารถนำรายจ่ายค่าขนส่งและโลจิสติกส์ส่วนเพิ่มมาหักภาษีเงินได้นิติบุคคลได้ 2 เท่า
  4. ปรับปรุงกฎหมายและกฎระเบียบเพื่อสนับสนุนการนำวัสดุเหลือใช้และผลิตภัณฑ์พลอยได้ไปใช้ผลิตสินค้าใหม่ที่มีมูลค่าเพิ่ม ตามหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy)

Back to top button