
“อนุทิน” บินประชุม APEC เตรียมพบ “สี จิ้นผิง” เร่งดีลขายข้าวให้จีน 5 แสนตัน
นายกฯ มั่นใจฝีมือเจรจาไม่เคยเสียเปรียบ ทั้งการค้า–ความเมือง หลังลงนามสู่สันติภาพไทย–กัมพูชา บินร่วมประชุม APEC เกาหลีใต้ เตรียมพบ “ทรัมป์–สี จิ้นผิง” หารือการค้า และเสนอขายข้าวไทยให้จีน 5 แสนตัน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (29 ต.ค.68) นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นำคณะออกเดินทางไปสาธารณรัฐเกาหลี (เกาหลีใต้) เพื่อเข้าร่วมการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค (APEC) ครั้งที่ 32 และการประชุมที่เกี่ยวข้อง ในช่วงสัปดาห์การประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค (APEC Economic Leaders’ Week: AELW) ระหว่างวันที่ 29 ตุลาคม – 1 พฤศจิกายน 2568 ณ เมืองคยองจู
นายอนุทิน กล่าวว่า การประชุมครั้งนี้ถือเป็นโอกาสสำคัญในการพบปะผู้นำหลายประเทศ อาทิ แคนาดา จีน เกาหลีใต้ บรูไน และอาจรวมถึงญี่ปุ่น โดยคาดว่าจะได้พบกับนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา อีกครั้ง เนื่องจากลำดับที่นั่งในการประชุมอยู่ใกล้กัน โดยจะเป็นโอกาสหารือในทุกประเด็น โดยเฉพาะด้านการค้า และความร่วมมือเพื่อผลประโยชน์ร่วมกัน
“ในการประชุมน่าจะได้นั่งลำดับติดกัน “T” (Thailand) กับ “U” (United States) ล้วนเป็นโอกาสที่จะได้หารือในทุกเรื่อง โดยเฉพาะการค้าขายและแสวงหาความร่วมมือสนับสนุนซึ่งกันและกัน” นายกรัฐมนตรี กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า จะชั่งน้ำหนักอย่างไรกรณีความร่วมมือเรื่องแร่ธาตุระหว่างจีนกับสหรัฐฯ นายอนุทิน กล่าวว่า “ตอนอยู่มาเลเซียก็ได้พบนายกรัฐมนตรีจีน ก็ไม่ได้มีประเด็นอะไร ครั้งนี้ก็จะได้พบกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง แห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน มีเรื่องอื่นที่สำคัญกว่านี้ เช่น เราจะเสนอให้จีนช่วยเร่งซื้อข้าวจากไทย 500,000 ตัน อันนี้จะสร้างรายได้ให้ประเทศมาก”
ส่วนกรณีการปราบปรามสแกมเมอร์ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ไทยพร้อมจัดการประชุมระดับนานาชาติ เพื่อร่วมกันป้องกันอาชญากรรมทางไซเบอร์ เนื่องจากปัญหาดังกล่าวเป็นภัยที่เกิดขึ้นทั่วโลก โดยในวันนี้เอกอัครราชทูตอินเดียประจำประเทศไทย จะเข้าหารือกับผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เพื่อประสานการส่งตัวชาวอินเดียเกือบ 500 คน ที่ทางการไทยช่วยเหลือออกจากพื้นที่ อ.แม่สอด จ.ตาก กลับประเทศ ซึ่งรัฐบาลอินเดียจะส่งเครื่องบินมารับเอง ถือเป็นความร่วมมือในการยกระดับการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ
สำหรับประเด็นความสัมพันธ์ไทย–กัมพูชา นายอนุทิน กล่าวว่า การถอนอาวุธหนักเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ซึ่งขณะนี้ได้เริ่มต้นการหารือตามปฏิญญา ที่ทั้งสองฝ่ายตกลงร่วมกัน โดยเมื่อคืนที่ผ่านมา ตนได้หารือกับผู้บัญชาการทหารสูงสุด และรองเสนาธิการทหาร ที่เข้าร่วมประชุม GBC และร่างปฏิญญานี้มา ทุกฝ่ายทำงานอย่างเต็มที่ในการรักษาผลประโยชน์ของประเทศ
“ผมคิดว่าตั้งแต่ผมประกอบอาชีพเลี้ยงตัวเองมา ตั้งแต่จบการศึกษามาผมก็ยังไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองทำให้องค์กรที่ผมสังกัดอยู่เสียประโยชน์อะไรเลย ตรงกันข้าม ผมก็มีความชำนาญพอสมควรในเรื่องการเจรจา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการค้าหรือการเมือง ผมยึดหลักว่าต้องอยู่บนพื้นฐานของกฎหมาย และทำให้คู่เจรจารู้สึกว่ามันเกิดความยุติธรรม อันนี้เป็นเทคนิคส่วนตัว ไม่ต้องกังวลหรอกครับ…เท่าที่จำความได้ก็ยังไม่เคยเสียเปรียบใครนะ คนถึงไม่ชอบหลายคนไง” นายกรัฐมนตรี กล่าวในช่วงตอบคำถามเกี่ยวกับการเจรจาผลประโยชน์ระหว่างไทย–กัมพูชา ภายหลังลงนาม Joint Declaration ที่ประเทศมาเลเซีย เมื่อวันที่ 26 ตุลาคมที่ผ่านมา

