
“ครม.เศรษฐกิจ” เคาะมาตรการออมผ่าน “ลงทุน” ลดหย่อนจูงใจสูงสุด 8 แสนบาทต่อปี
ครม.เศรษฐกิจเห็นชอบหลักการมาตรการเพิ่มโอกาสการออมและความมั่นคงทางการเงิน เตรียมเสนอ ครม. ไฟเขียวพรุ่งนี้ (9 ธ.ค.) ลดหย่อนภาษีสูงสุด 8 แสนบาท พร้อมมาตรการ “ออมพลัส”
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (8 ธ.ค.68) นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจ (ครม.เศรษฐกิจ) ครั้งที่ 7/2568 โดยที่ประชุมเห็นชอบในหลักการของมาตรการเพื่อเพิ่มโอกาสในการออมและความมั่นคงทางการเงินของประชาชน ซึ่งกระทรวงการคลังจะนำเสนอให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาต่อไป

นายเอกนิติ กล่าวว่า ที่ประชุมได้พิจารณามาตรการเสาที่ 5 “Quick Big Win” ซึ่งมุ่งเน้นการส่งเสริมการออม เพื่อเพิ่มโอกาสในการออมและความมั่นคงทางการเงิน โดยจะเพิ่มวงเงินลดหย่อนภาษีสูงสุด 800,000 บาท โดยไม่ต้องยื่นขอใหม่ทุกปี
มาตรการนี้จะช่วยให้ประชาชนที่มีรายได้ไม่เกิน 1.5 ล้านบาทต่อปี ซึ่งมีประมาณ 11.4 ล้านคน สามารถลดหย่อนได้เพิ่มขึ้น 1.3 เท่า โดยจะช่วยเตรียมพร้อมให้คนไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุและเพิ่มแหล่งระดมเงินออมมากขึ้น พร้อมทั้งช่วยให้เงินเข้าสู่ตลาดทุนมากขึ้น
นายเอกนิติ กล่าวว่า “ยิงนกทีเดียวได้หลายตัว” มาตรการนี้จะช่วยให้ประชาชนได้รับการลดหย่อนภาษีมากขึ้น พร้อมทั้งมีกลไกจูงใจให้ประชาชนเข้าสู่ตลาดทุน เช่น การยกเว้นภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย 200,000 บาทแรก สำหรับผู้ที่ถือพันธบัตรเกิน 5 ปี และจะมีการนำพันธบัตรออมพลัสให้ประชาชนสามารถซื้อได้ทุกเดือน ในราคาขั้นต่ำ 1,000 บาท พร้อมยกเว้นภาษีอากรสแตมป์จากการซื้อประกัน
ส่วนมาตรการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จะเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ทันวันพรุ่งนี้ (9 ธ.ค.68) นายเอกนิติกล่าวว่า ขณะนี้ทีมกำลังพิจารณา ขณะที่มาตรการ “คนละครึ่ง พลัส” ยังไม่ได้หารือกันในที่ประชุมครม.เศรษฐกิจครั้งนี้
ในด้านเหตุการณ์ปะทะบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา นายเอกนิติกล่าวว่า ได้หารือกับ นางศุภจี สุธรรมพันธ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เกี่ยวกับสถานการณ์นี้ พร้อมยืนยันว่า “เราไม่ได้ผิด เขามาโจมตีเราก่อน วันนี้เขาเป็นคนทำผิด แต่ก็ต้องมีการเตรียมการไว้บ้าง”
รายงานข่าวระบุว่า มาตรการนี้จะรวมการใช้บัญชี TISA (Thailand Individual Savings Account) ซึ่งช่วยให้ผู้ลงทุนสามารถเลือกลงทุนในผลิตภัณฑ์ทางการเงินต่าง ๆ เช่น พันธบัตร หุ้น หรือกองทุนรวม โดยสามารถหักลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 800,000 บาทต่อปี ภายใต้เงื่อนไขที่ให้ผู้ที่มีรายได้ไม่เกิน 1.5 ล้านบาทต่อปี สามารถหักได้ 1.3 เท่า ขณะที่ผู้มีรายได้เกิน 1.5 ล้านบาทสามารถหักได้ 0.7 เท่า
นอกจากนี้ ผู้ที่ลงทุนใน TISA และได้รับผลตอบแทนจากการลงทุน เช่น เงินปันผล หรือดอกเบี้ย จะได้รับการยกเว้นภาษีหัก ณ ที่จ่าย 200,000 บาทแรก หากถือครองการลงทุนจนถึงอายุ 55 ปี หรือไม่น้อยกว่า 5 ปี โดยจะสามารถขายหน่วยลงทุนได้ตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้
ส่วนโครงการ “สลากเพื่อการออม” ที่มีแนวคิดคืนเงินบางส่วนแก่ผู้ซื้อสลากดิจิทัลที่ไม่ถูกรางวัลนั้น มีรายงานข่าวว่า สำนักงานส่วนโครงการ “สลากเพื่อการออม” ที่มีแนวคิด “คืนเงินบางส่วน” แก่ผู้ซื้อสลากดิจิทัลที่ไม่ถูกรางวัลนั้น มีรายงานข่าวว่า สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ยืนยันว่า ไม่สามารถดำเนินการได้ เนื่องจากขัดอำนาจหน้าที่ของสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล แต่กระทรวงการคลังยังคงเร่งสรุปมาตรการออมอื่นเพิ่มเติม เพื่อผลักดันแผนส่งเสริมการออมอย่างต่อเนื่อง

