CPF ร่วมขับเคลื่อนลดก๊าซเรือนกระจก มุ่งผลิตอาหารยั่งยืน

CPF ร่วมขับเคลื่อนลดก๊าซเรือนกระจก พร้อมนำเทคโนโลยีทันสมัยและนวัตกรรมมาใช้ เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ขับเคลื่อนความมั่นคงทางอาหารยั่งยืน     


บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร  จำกัด (มหาชน) หรือ CPF  เปิดเผยว่า บริษัทมุ่งมั่นมีส่วนร่วมบรรเทาผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ  ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตลอดห่วงโซ่การผลิต และร่วมปกป้องทะเลโลก  เพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานสะอาดจากปัจจุบันอยู่ที่ 27% ของการใช้พลังงานทั้งหมด ยกเลิกการใช้ถ่านหินสำหรับกิจการในประเทศไทย  ภายในปี 2565  พร้อมนำเทคโนโลยีทันสมัยและนวัตกรรมมาใช้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพตลอดกระบวนการผลิต  ขับเคลื่อนความมั่นคงทางอาหารอย่างยั่งยืน

นายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร CPF กล่าวว่า บริษัทให้ความสำคัญและมีบทบาทร่วมบรรเทาผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศตลอดห่วงโซ่การผลิต มุ่งเน้นสร้างสมดุลระบบนิเวศ สิ่งแวดล้อม และความหลากหลายทางชีวภาพ ภายใต้กลยุทธ์ความยั่งยืน CPF 2030 Sustainability in Action โดยมีเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่อหน่วยการผลิตลง 25% ในปี 2568 เทียบกับปีฐาน 2558

โดยปัจจุบัน CPF มีสัดส่วนการใช้พลังงานสะอาดหรือพลังงานหมุนเวียน อาทิ พลังงานชีวมวล พลังงานชีวภาพ และพลังงานแสงอาทิตย์อยู่ที่ 27% ของการใช้พลังงานทั้งหมด เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ 575,000 ตันคาร์บอนไดออกไซด์ต่อปี  หรือเทียบเท่าการดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์จากต้นไม้ถึง 60 ล้านต้น (300,000 ไร่) และในปีนี้มีแผนยกเลิกการใช้ถ่านหินสำหรับกิจการในประเทศไทยทั้งหมด โดยใช้พลังงานจากเชื้อเพลิงชีวมวลทดแทน ส่งผลให้สามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้อีกมากกว่า 70,000 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี

ส่วนการใช้พลังงานและการจัดการของเสีย เป็นสาเหตุหนึ่งที่ส่งผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ CPF จึงได้ดำเนินโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน การจัดการมูลสัตว์และน้ำเสีย และการส่งเสริมพลังงานหมุนเวียนไบโอดีเซล ก๊าซชีวภาพและแสงอาทิตย์ เพี่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างต่อเนื่อง สอดรับตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติ (SDGs)” นายประสิทธิ์ กล่าว

รวมทั้งโรงงานและฟาร์มของ CPF 37 แห่ง มีการใช้พลังงานแสงอาทิตย์ กำลังการผลิตทั้งหมด 20 เมกะวัตต์ ช่วยลดก๊าซเรือนกระจกได้ 13,000 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าฟาร์มสุกร และคอมเพล็กซ์ไก่ไข่มากกว่า 100 แห่ง ใช้พลังงานจากก๊าซชีวภาพทดแทนการใช้ไฟฟ้าจากสายส่งได้ถึง 69 ล้านหน่วย ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ 492,000 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า และในปีนี้มีเป้าหมายลดการใช้ถ่านหินเป็นศูนย์ ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการดำเนินการในอีก  3 โรงงานที่จะทดแทนด้วยพลังงานชีวมวล ทำให้ลดก๊าซเรือนกระจกได้จากเดิมอีกมากกว่า 70,000 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า

ขณะที่นายประสิทธิ์ กล่าวว่า ปัจจัยที่นำไปสู่ความสำเร็จของการจัดการก๊าซเรือนกระจกและส่งผลดีต่อการดำเนินธุรกิจ คือ การนำเทคโนโลยีดิจิทัลหุ่นยนต์ (Robotics)  ระบบอัตโนมัติ (Automation) และปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาใช้ในกระบวนการผลิตและขนส่ง เพื่อให้มีการใช้วัตถุดิบ  น้ำ พลังงาน อย่างมีประสิทธิภาพตามหลักการเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ซึ่งจะทำให้สามารถผลิตอาหารในปริมาณที่เพียงพอต่อความต้องการของผู้บริโภค ในราคาที่เข้าถึงได้  สร้างความมั่นคงทางอาหารและสร้างระบบผลิตอาหารที่ยั่งยืน  ขณะเดียวกัน ได้ประกาศนโยบายลดปริมาณขยะอาหารในกระบวนการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯให้เป็นศูนย์ในปี 2573

ขณะเช่นเดียวกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์คาร์บอนต่ำ (Low – Carbon Products) ของบริษัทเป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้รับรองฉลากลดโลกร้อนจากองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก องค์การมหาชน หรือ อบก. ประกอบด้วยอาหารไก่เนื้อ ไก่มีชีวิต เป็ดมีชีวิต สุกรขุน เนื้อไก่สด  เนื้อเป็ดสด และเนื้อหมูสด ซึ่งผลิตภัณฑ์คาร์บอนต่ำทั้งหมด ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 1,483,000 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า โดยในปีที่ผ่านมา CPF มีสัดส่วนรายได้ที่มาจากผลิตภัณฑ์สีเขียวอยู่ที่ 33 % และคาดว่าในปี 2573 จะมีสัดส่วนรายได้จากผลิตภัณฑ์สีเขียวอยู่ที่ 40% สำหรับกิจการในประเทศไทย

นอกจากนี้ บริษัทมีส่วนร่วมปกป้องความหลากหลายทางชีวภาพและแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ  โดยได้ประกาศความมุ่งมั่นว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ และการต่อต้านการตัดไม้ทำลายป่า ด้วยการสร้างความร่วมมือกับคู่ค้าผ่านนโยบายที่บริษัทได้ประกาศไว้ รวมถึงกำหนดเป้าหมายในการจัดซื้อวัตถุดิบทางการเกษตรหลักที่สำคัญ ได้แก่ ข้าวโพด ปลาป่น น้ำมันปาล์ม ถั่วเหลือง มันสำปะหลัง โดย 100% ของการจัดหาทั่วโลกของซีพีเอฟจะต้องสามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ และมาจากพื้นที่ปราศจากการตัดไม้ทำลายป่าภายในปี 2573

ส่วนด้านการมีส่วนร่วมรักษาสมดุลระบบนิเวศและสิ่งแวดล้อม  บริษัทมีเป้าหมายเพิ่มพื้นที่สีเขียวรวม 20,000 ไร่ ผ่านการดำเนินโครงการอนุรักษ์และฟื้นฟูป่าต้นน้ำ คือ โครงการซีพีเอฟ รักษ์นิเวศ ลุ่มน้ำป่าสัก เขาพระยาเดินธง จ.ลพบุรี และ โครงการอนุรักษ์และฟื้นฟูป่าชายเลน ซีพีเอฟ ปลูก ปัน ป้อง ป่าชายเลน ซึ่งจะช่วยดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สะสม  200,000 ตันคาร์บอนไดออกไซด์

ขณะเดียวกันในส่วนของธุรกิจสัตว์น้ำ บริษัทมุ่งมั่นปกป้องทะเลโลก ผ่านการดำเนินโครงการขยะทะเล (Ocean Trash Project)  ซึ่งเป็นโครงการต่อยอดจากโครงการ “ขยะคืนฝั่ง ทะเลสวยด้วยมือเรา” นำโดยกรมประมงและสมาคมประมงแห่งประเทศไทย  ที่ส่งเสริมและรณรงค์ให้ชาวประมงลดการทิ้งขยะลงสู่ทะเล และเก็บขยะจากกิจกรรมประมงขึ้นฝั่ง  โดยในปี 2564  ได้ร่วมกับโรงงานปลาป่นเจดีพีในจังหวัดตรัง และชาวประมงต่อยอดโครงการด้วยการนำขยะพลาสติกจากขวด PET ที่เก็บจากทะเลแปรรูปเป็นเส้นใยพลาสติกผลิตเป็นเสื้อโปโล รีไซเคิล  แจกให้พนักงานซีพีเอฟ และในปีนี้มีแผนจะผลิตเพิ่มอีก

นอกจากนี้  ภายใต้ยุทธศาสตร์ป่าชายเลน ได้ริเริ่มโครงการกับดักขยะทะเล (Trap The Sea Trash Project) นำร่องพื้นที่ ต.บางหญ้าแพรก จ.สมุทรสาคร เพื่อลดปริมาณขยะที่ไหลลงสู่ทะเล และสร้างการมีส่วนร่วมของภาคประชาสังคมในการจัดการขยะทะเล สร้างมูลค่าเพิ่มของขยะทะเลและปกป้องฟื้นฟูระบบนิเวศ

ทั้งนี้ ในวันที่ 22 เมษายน ของทุกปี  เป็นวันคุ้มครองโลก  หรือ Earth Day   ซึ่งประกาศโดยโครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ (United  Nations  Environment Program : UNEP)  โดยปี พ.ศ.2565  ภายใต้แนวคิด Invest in our planet  ลงทุนให้โลกไปด้วยกัน เพื่อร่วมแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ  ในการรักษาและปกป้องสุขภาพ  ครอบครัว สิ่งที่องค์กร หรือ ทุกคนสามารถทำได้เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงให้โลก  คือ ลงมือทำอย่างจริงจัง   สร้างสรรค์  และนำไปปฏิบัติอย่างเท่าเทียม

Back to top button