AOT ประชุม “คมนาคม” วางแผนรับมือผู้โดยสาร 60 ล้านคน/ปี

AOT ร่วมประชุม “กระทรวงคมนาคม” วางแผนรับมือผู้โดยสารในยุค New Normal คาดผู้โดยสารเพิ่มเป็น 60 ล้านคน/ปี จากเดิม 45 ล้านคน/ปี


นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยภายหลังเปิดการประชุมเชิงอภิปราย AOT Sister Airport CEO Forum 2022 ภายใต้หัวข้อหลัก “Resilience, Reunion and Reinventing for Aviation Sustainability” ทั้งนี้ ร่วมกับท่าอากาศยานพันธมิตร 13 องค์กรครอบคลุม 17 ท่าอากาศยาน จาก 10 ประเทศ ภายใต้บันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (Sister Airport Agreement: SAA) กับ บริษัทท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT รวมถึงสายการบิน หน่วยงานราชการ และผู้มีส่วนได้เสียเข้าร่วมประชุมดังกล่าว ว่า อุตสาหกรรมการบินมีบทบบาทสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมสร้างรายได้ให้ประเทศประมาณ 85,000 ล้านบาทต่อปี ซึ่งที่ผ่านมาทุกท่าอากาศยานต้องปรับตัวท่ามกลางความท้าทายจากสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 จนสถานการณ์คลี่คลาย

ล่าสุดช่วง 10 เดือนแรกของปี 2565 ตัวเลขผู้โดยสารเดินทางมายังประเทศไทยเพิ่มขึ้นถึง 146% ประกอบกับสมาคมขนส่งทางอากาศระหว่างประเทศ หรือ IATA ประเมินว่าภายในปี 2577 จะมีผู้โดยสารเดินทางสู่ประเทศไทยเป็นอันดับที่ 9 ของโลก กว่า 200 ล้านคน ด้านกระทรวงคมนาคมจึงจำเป็นต้องฟื้นฟูส่งเสริมการบินโดยขยายขีดความท่าอากาศยานที่อยู่ในสังกัด และการบริการภายในท่าอากาศยานเพื่อรองรับขีดความสามารถเพิ่มขึ้น

ด้านนายนิตินัย ศิริสมรรถการ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ AOT เปิดเผยว่า การประชุมดังกล่าวเป็นเวทีเพื่อเปิดโอกาสให้ผู้บริหารระดับสูงจากสนามบินภายใต้ SAA ได้แลกเปลี่ยนความรู้ ประสบการณ์ มุมมองเกี่ยวกับแนวโน้มของสถานการณ์อุตสาหกรรมการบินภายหลังการแพร่ระบาดของโควิด-19 จนต้องมีการพิจารณาปรับเปลี่ยนรูปแบบของการบริหารจัดการ มีการนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีมาปรับใช้ในการขับเคลื่อนธุรกิจ เพื่อให้สามารถพลิกฟื้นและดำเนินการต่อไปได้อย่างต่อเนื่องและยั่งยืน

นอกจากนี้บริษัทฯ มีแผนการดำเนินงานเพื่อเตรียมความพร้อมในการกลับมาให้บริการในยุค New Normal ไม่ว่าจะเป็น การเปิดให้บริการอาคารเทียบเครื่องบินรองหลังที่ 1 (Satelite 1) ในปี 2566 เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการรองรับจำนวนผู้โดยสารจาก 45 ล้านคนต่อปี เป็น 60 ล้านคนต่อปี ท่าอากาศยานทั้ง 6 แห่งในความรับผิดชอบของบริษัทยังคงได้รับการรับรองการดำเนินงานสนามบินตามมาตรฐานสากล รวมถึงความพร้อมทางด้านบุคลากรให้มีความพร้อมในการปฏิบัติงานได้ตามปกติเหมือนช่วงก่อนเกิดสถานการณ์การแพร่ระบาด COVID-19 ควบคู่การใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี

Back to top button