SMD100 แนะผู้ประกันตนใช้สิทธิ “ตรวจการนอนหลับ CPAP” รุ่นใหม่ ฟื้นฟูคุณภาพชีวิต

SMD100 แนะนำผู้ประกันตนใช้สิทธิ ตรวจการนอนหลับมาตรฐาน Type I และเครื่อง Auto CPAP / APAP รุ่นใหม่ เพิ่มความแม่นยำและประสิทธิภาพการรักษา พร้อมฟื้นคุณภาพชีวิต


บริษัท เอสเอ็มดี ไรส์ จำกัด (มหาชน) หรือ SMD100 เปิดเผยถึงประเด็นการเปลี่ยนโรงพยาบาลขึ้น สิทธิประกันตน เพื่อเข้าถึงสิทธิห้องตรวจการนอนหลับระดับสูงสุด (PSG Type I) และ เครื่องช่วยหายใจแรงดันบวกอัตโนมัติ (Auto CPAP / APAP) ที่มีระบบ Bidirectional Cloud Monitoring System

โดย “การเปลี่ยนโรงพยาบาล อาจเปลี่ยนชีวิตคุณได้ในคืนเดียว” ซึ่งทุกปีผู้ประกันตนมีสิทธิ “เปลี่ยนโรงพยาบาลคู่สัญญา” ได้เพียงปีละหนึ่งครั้งและการเลือกครั้งนี้ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของความสะดวกในการพบแพทย์ แต่คือ “การตัดสินใจที่อาจเปลี่ยนคุณภาพชีวิตทั้งชีวิต”

สิทธิประกันสังคมในวันนี้ ไม่ได้จำกัดอยู่แค่การรักษาโรคเมื่อเจ็บป่วย แต่ยังครอบคลุมถึง “สิทธิในการฟื้นฟูสุขภาพระดับรากฐานของชีวิตมนุษย์” นั่นคือ สิทธิในการตรวจการนอนหลับ (Sleep Study) และสิทธิในการเบิกเครื่องช่วยหายใจแรงดันบวก (CPAP) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีสำคัญที่ช่วยฟื้นคืนสมดุลให้กับร่างกาย สมอง และหัวใจ

สิทธินี้จะมีคุณค่าจริงก็ต่อเมื่อคุณเลือกโรงพยาบาลที่มีห้องตรวจการนอนหลับมาตรฐานสูงสุด (PSG Type I) พร้อมทีมแพทย์เฉพาะทางด้าน Sleep Medicine และมีเครื่อง Auto CPAP / APAP รุ่นใหม่ที่เชื่อมต่อ Cloud ได้สองทาง (Bidirectional) เพื่อให้แพทย์สามารถติดตามผลและปรับแรงดันได้แบบเรียลไทม์

ขณะที่ ห้องตรวจการนอนหลับ ไม่ใช่แค่ “มีเครื่องตรวจ” แต่คือ “ห้องที่ทำให้คุณนอนได้จริง”

ห้องตรวจการนอนหลับแบบมาตรฐานโลก (PSG Type I) คือ ห้องที่ออกแบบขึ้นโดยมีเป้าหมายเพียงอย่างเดียว เพื่อให้ “คุณหลับได้อย่างธรรมชาติที่สุด” บรรยากาศของห้องจึงเงียบสงบ มีระบบควบคุมแสงและอุณหภูมิให้เหมาะกับการนอน มีการติดตั้งอุปกรณ์บันทึกสัญญาณชีวภาพอย่างน้อย 16 ช่อง ครอบคลุมคลื่นสมอง, การเคลื่อนไหวลูกตา, การหายใจ, กล้ามเนื้อ, หัวใจ และระดับออกซิเจน

ในห้องแบบนี้ จะมีเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญด้านการนอนหลับเฝ้าสังเกตจากห้องควบคุมตลอดคืน มีระบบกล้องอินฟราเรดบันทึกภาพการนอนอย่างละเอียดและมีระบบสื่อสารสองทางเพื่อให้ผู้ป่วยมั่นใจว่ามีทีมนักตรวจการนอนหลับดูแลอยู่ใกล้ชิดตลอดเวลา

ผลลัพธ์จากการตรวจในห้องประเภทนี้ มีความแม่นยำสูงสุดและสามารถใช้เป็นเอกสารยืนยันเพื่อเบิกเครื่อง CPAP ได้โดยตรงตามสิทธิประกันสังคม นี่จึงเป็นเหตุผลที่ว่า “ห้องตรวจแบบโรงแรม” ไม่ใช่ความหรูหรา แต่คือ ความจำเป็นห้องพิเศษหรือห้องรวม (Type II) : ตรวจได้ดี แต่ไม่ใช่มาตรฐานสูงสุด

ในบางโรงพยาบาลการตรวจจะจัดในห้องพักผู้ป่วยทั่วไป หรือ ห้องพิเศษที่มีความเป็นส่วนตัวระดับหนึ่ง โดยใช้อุปกรณ์ตรวจหลายสัญญาณ มีคลื่นสมอง (EEG) และลูกตา (EOG) บางช่องซึ่งให้ข้อมูลละเอียดพอสมควร

อย่างไรก็ตาม ห้องประเภทนี้ ไม่มีเจ้าหน้าที่เฝ้าอยู่ตลอดคืน ไม่มีระบบกล้องวิดีโอ และไม่สามารถควบคุมสิ่งแวดล้อมได้เท่าห้อง Sleep Lab ผู้ป่วยอาจได้ยินเสียงจากภายนอก มีแสงรบกวน หรือหลับไม่ลึกพอ จึงทำให้ผลการตรวจไม่ต่อเนื่องเท่ากับ Type I

ถึงกระนั้น การตรวจแบบ Type II ยังถือว่า “มีคุณภาพเพียงพอ” และสามารถใช้เบิกเครื่อง CPAP ได้ตามสิทธิประกันสังคม โดยต้องมีแพทย์เฉพาะทางเป็นผู้วินิจฉัยผลและยืนยันการรักษา

ส่วนห้องนอนที่บ้าน (Type III / Type III Plus) : สะดวก แต่ไม่ครบ สำหรับผู้ที่ต้องการความสะดวก หรืออยู่ในพื้นที่ที่ยังไม่มี Sleep Lab โรงพยาบาลบางแห่งอาจเสนอการตรวจแบบ Home Sleep Test (Type III) หรือ Type III Plus ซึ่งใช้เครื่องพกพาขนาดเล็กติดตั้งง่ายการตรวจลักษณะนี้ไม่มีเจ้าหน้าที่เฝ้า ไม่มีการบันทึกภาพวิดีโอ และใช้เซนเซอร์เพียงไม่กี่ช่อง เช่น การไหลของอากาศ การเคลื่อนไหวหน้าอก และระดับออกซิเจนในเลือด

บางรุ่นมีระบบคำนวณอัตโนมัติช่วยประเมินช่วงหลับ-ตื่น (Type III Plus) แต่ยังไม่สามารถบันทึกคลื่นสมองจริงได้จึงทำให้การตรวจที่บ้านเป็นเพียง “การคัดกรองเบื้องต้น” ซึ่งผลตรวจอาจใช้ช่วยประเมินอาการได้ในระดับหนึ่ง แต่ยังไม่สามารถใช้ยืนยันสิทธิ์เบิกเครื่อง CPAP ได้และหากผู้ป่วยนอนไม่หลับ หรือหลับไม่เต็มที่ ผลตรวจจะคลาดเคลื่อนได้ง่าย

ทำไมต้องเลือกห้องตรวจมาตรฐานโรงแรม (Type I) เพราะการตรวจในห้อง Type I ให้ข้อมูลครบถ้วนที่สุด ทั้งสัญญาณสมอง หัวใจ การหายใจ การเคลื่อนไหว และพฤติกรรมขณะนอน ช่วยให้แพทย์สามารถวิเคราะห์ภาวะหยุดหายใจได้ละเอียดและตั้งค่าการรักษาด้วยเครื่อง CPAP ได้ตรงจุดที่สุด

เมื่อเชื่อมต่อกับเครื่อง Auto CPAP / APAP รุ่นใหม่ที่มีระบบ Bidirectional Cloud Monitoring แพทย์สามารถติดตามข้อมูลการใช้งานของผู้ป่วยได้แบบวันต่อวัน ปรับแรงดันได้จากระยะไกล และตรวจสอบชั่วโมงการใช้งานจริง ซึ่งจะกลายเป็นข้อมูลสำคัญในการต่อสิทธิ์เบิกหน้ากาก หรือเบิกเครื่องใหม่ในอนาคต

ในขณะที่ การตรวจแบบ Type II หรือ Type III Plus แม้จะให้ความสะดวกและประหยัดกว่า แต่ไม่สามารถให้รายละเอียดเชิงลึกเท่า Type I และไม่สามารถใช้เป็นหลักฐานเพื่อเบิกสิทธิ์ได้อย่างมั่นใจ

เลือกโรงพยาบาลให้ถูก… เปลี่ยนชีวิตให้ดีขึ้นในคืนเดียว ในช่วงเปิดรอบเปลี่ยนสถานพยาบาลปีนี้ อย่าลืมตรวจสอบว่าโรงพยาบาลที่คุณเลือกมี ห้องตรวจการนอนหลับมาตรฐาน Type I หรือ Type II ที่ผ่านการรับรอง และใช้เครื่อง Auto CPAP / APAP รุ่นใหม่ที่เชื่อมต่อ Cloud ได้จริง

เพราะนี่คือความแตกต่างระหว่าง “การตรวจทั่วไป” กับ “การวินิจฉัยระดับมาตรฐานโลก” และระหว่าง “การใช้เครื่องธรรมดา” กับ “การฟื้นฟูชีวิตอย่างต่อเนื่อง”

ส่วนประเด็นทำไมต้องเปลี่ยนโรงพยาบาลขึ้นสิทธิเพราะสิทธิการนอนหลับดี คือ สิทธิแห่งชีวิต ที่คุณมีอยู่แล้ว แต่ยังไม่เคยใช้ 1.การเลือกโรงพยาบาลที่มีห้อง Sleep Lab มาตรฐาน Type I หรือ Type II ทำให้คุณได้รับการวินิจฉัยแม่นยำ และมีสิทธิ์เบิกเครื่อง CPAP ได้อย่างถูกต้อง

2.การใช้เครื่อง Auto CPAP / APAP รุ่นใหม่ที่เชื่อมต่อ Cloud Monitoring ช่วยให้แพทย์ติดตามผลได้จากทุกที่ และปรับการรักษาได้แบบเรียลไทม์

3.คุณจะได้รับบริการติดตามผล การเปลี่ยนหน้ากาก และการดูแลต่อเนื่องโดยทีมผู้เชี่ยวชาญ

4.นี่คือการลงทุนด้านสุขภาพที่คุ้มค่าที่สุด เพราะการนอนหลับที่ดีคืนเดียวอาจเปลี่ยนพลัง สมาธิ และคุณภาพชีวิตของคุณได้ทั้งชีวิต

ก่อนตัดสินใจเปลี่ยนสิทธิตรวจสอบว่าโรงพยาบาลที่คุณเลือกมีห้องตรวจ Sleep Lab ส่วนตัวแบบโรงแรม (Type I) หรืออย่างน้อย ห้องพิเศษที่ผ่านมาตรฐาน Type II

สอบถามว่าใช้เครื่อง Auto CPAP หรือ APAP และยืนยันว่าเครื่องนั้นมี ระบบ Bidirectional Cloud Monitoring System พร้อมทีมแพทย์เฉพาะทางด้าน Sleep Medicine ที่ดูแลต่อเนื่อง

“ปีนี้… ใช้สิทธิของคุณให้เต็มที่” เปลี่ยนโรงพยาบาลขึ้นสิทธิประกันตนเพื่อเข้าถึงมาตรฐานการนอนหลับระดับโลกเพราะคืนหนึ่งที่นอนหลับดี -อาจเปลี่ยนชีวิตคุณไปตลอดกาล

Back to top button