
RAM พลิกโฉมใหญ่! เร่งสร้างเครือข่ายอันดับ 2 ของไทย ดันรายได้ปีนี้โต 40%
กลุ่มโรงพยาบาลรามคำแหง เดินหน้าขยายการเติบโตต่อเนื่อง มุ่งสู่เป้าหมายเป็นเครือข่ายอันดับ 2 ของประเทศ ด้วยมาตรฐานการรักษาระดับสากลและเทคโนโลยีทันสมัย คาดรายได้ปีนี้โต 40% จากการเพิ่มการถือหุ้นในพันธมิตร พร้อมปรับภาพลักษณ์ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ สู่การเป็นศูนย์กลางการแพทย์ครบวงจรของภูมิภาค
นพ. พิชญ สมบูรณสิน ประธานกรรมการบริหารบริษัทกลุ่มบริษัท โรงพยาบาลรามคำแหง จำกัด (มหาชน) หรือ RAM กล่าวว่า ตลอดระยะเวลา 37 ปีที่ผ่านมา กลุ่มโรงพยาบาลรามคำแหงได้พิสูจน์ให้เห็นถึงความแข็งแกร่ง (Resilience) ในการยืนหยัดผ่านวิกฤตการณ์ต่างๆ โดยเฉพาะวิกฤตโควิด-19 ด้วยรากฐานที่มั่นคงเราไม่เพียงแต่ดูแลผู้ป่วยได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ยังสามารถเติบโตอย่างต่อเนื่องจากความเป็นเลิศทางการแพทย์ ที่เรามุ่งมั่นพัฒนาศักยภาพการรักษาพยาบาลอย่างไม่หยุดยั้ง โดยเฉพาะการจัดตั้งศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์ (Centers of Excellence) ที่หลากหลายและทันสมัย อาทิ ศูนย์โรคหัวใจ ที่เรามีความเชี่ยวชาญอย่างยิ่งในการรักษาหลอดเลือดหัวใจอุดตันโดยไม่ต้องผ่าตัด การรักษาหัวใจเต้นผิดจังหวะ รวมไปถึงการฟื้นฟูสมรรถภาพหัวใจและปอด อันเป็นการดูแลรักษาผู้ป่วยแบบครบวงจร อีกทั้งยังมีศูนย์สมองและระบบประสาท และศูนย์ผ่าตัดส่องกล้อง หู คอ จมูก ที่มีชื่อเสียงมาอย่างยาวนาน
กลุ่มโรงพยาบาลรามคำแหงยังนำเทคโนโลยีขั้นสูงมายกระดับบริการทางการแพทย์ เพื่อผลลัพธ์ในการรักษาที่รวดเร็ว แม่นยำ ปลอดภัย เช่น เทคโนโลยีหุ่นยนต์ช่วยผ่าตัด (Robotic Surgery) การผ่าตัดแผลเล็ก (Minimally Invasive Surgery) และบริการแพทย์ทางไกล (Telemedicine) รวมถึงการพัฒนาแอปพลิเคชันและบริการออนไลน์ที่เข้าถึงผู้ป่วยได้โดยตรง เพื่อดูแลสุขภาพผู้ป่วยได้แม้จะอยู่นอกโรงพยาบาล พร้อมขยายบริการสู่ด้านการดูแลเชิงป้องกัน (Preventive) และสุขภาพองค์รวม (Wellness) เพื่อตอบโจทย์แนวโน้มสุขภาพของโลกยุคใหม่
ขณะเดียวกันการขยายเครือข่ายพันธมิตรเพื่อสร้างสรรค์พลังร่วม (Synergy) ด้วยการร่วมลงทุนกับโรงพยาบาลพันธมิตรชั้นนำทั่วประเทศ อาทิ โรงพยาบาลวิภาราม โรงพยาบาลธนบุรี โรงพยาบาลสินแพทย์ และโรงพยาบาลวิภาวดี ซึ่งล้วนเป็นโรงพยาบาลมาตรฐานสากล (Joint Commission International: JCI), มาตรฐาน AACI และมาตรฐาน HA ทำให้มีจุดแข็งระบบการส่งต่อผู้ป่วยภายในเครือข่าย ที่ช่วยให้ผู้ป่วยได้รับการดูแลอย่างครบวงจรและตรงจุด ศักยภาพนี้ทำให้กลุ่มโรงพยาบาลรามคำแหง พร้อมก้าวสู่การเป็น Medical Hub ที่สำคัญของไทย ซึ่งปัจจุบันเรามีผู้ป่วยต่างชาติที่ให้ความไว้วางใจเข้ารักษา โดยเฉพาะในโรงพยาบาลเชียงใหม่ราม และโรงพยาบาลสุขุมวิท สะท้อนถึงความพร้อมในการรองรับผู้ป่วยนานาชาติ
“เป้าหมายของเรามากกว่าแค่การเป็นศูนย์การแพทย์ครบวงจร แต่คือการยกระดับมาตรฐานสาธารณสุขของไทย พร้อมมุ่งเน้นการดูแลคุณภาพชีวิต (Well-being) ผ่านการแพทย์เชิงป้องกัน ส่งเสริม และฟื้นฟู เพื่อให้คนไทยมีสุขภาพแข็งแรงและมีอายุยืนยาวขึ้น ด้วยความพร้อมของเครือข่ายโรงพยาบาลพันธมิตรชั้นนำ 46 แห่งทั่วประเทศ มีจำนวนเตียงรวมกว่า 7,800 เตียง เราเชื่อมั่นว่าการก้าวไปข้างหน้าครั้งนี้ และการพัฒนาศักยภาพอย่างต่อเนื่อง จะเป็นฟันเฟืองสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศไทย สู่การเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์ (Medical Hub) ชั้นนำของภูมิภาคที่มีศักยภาพดึงดูดผู้เข้ารับบริการจากทั่วโลก อันเป็นอีกหนึ่งอุตสาหกรรมที่สร้างรายได้และชื่อเสียงให้กับประเทศไทย” นพ.พิชญ กล่าว
ดร.ฤกขจี กาญจนพิทักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท โรงพยาบาลรามคำแหงและบริษัทในเครือ กล่าวว่า เรายังคงยึดมั่นในวิสัยทัศน์ของผู้ก่อตั้งที่ต้องการดูแลประชาชนเป็นสำคัญ เพื่อให้บริการผู้ป่วยทุกกลุ่มทุกภูมิภาคทั่วประเทศไทย ซึ่งครอบคลุมสิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ 30 บาท ประกันสังคม และผู้ชำระเงินเอง ภายใต้วิสัยทัศน์ที่มุ่ง “ตอบทุกความต้องการ เชี่ยวชาญทุกการดูแล” โดยมีการผสมผสานมุมมองทางธุรกิจเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน
นอกจากนี้เรายังคงเดินหน้าลงทุนในลักษณะ Brownfield, M&A และ Partnership โดยเน้นการเข้าไปลงทุนในบริษัทย่อย เพื่อเสริมศักยภาพและสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน โดยล่าสุดได้เพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นในกลุ่มโรงพยาบาลธนบุรี (Thonburi Hospital Group) ทำให้ปัจจุบันกลุ่มโรงพยาบาลรามคำแหงมีเครือข่ายโรงพยาบาลรวม 46 แห่งทั่วประเทศ มีจำนวนเตียงรวม 7,800 เตียง นับเป็นผู้นำกลุ่มโรงพยาบาลเอกชนอันดับ 2 ของประเทศไทย ทั้งนี้ คาดการณ์การเติบโตทั้งเครือในปีนี้ 40% จากปีก่อนหน้า
ทั้งนี้ เพื่อรองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมสุขภาพ และกลุ่มผู้เข้ารับบริการคนรุ่นใหม่ที่ให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพมากขึ้น เราจึงวางกลยุทธ์ภายใต้ยุทธศาสตร์ “RAM 2.0, The New Era of Ram Hospital Group” ต่อยอดจากความเชื่อของผู้ก่อตั้ง เข้ากับแนวทางการดำเนินงานยุคใหม่ ได้แก่ Clinical Excellence ยกระดับขีดความสามารถทางการแพทย์ ผ่านเทคโนโลยีและบุคลากรระดับแนวหน้า, Network Synergy สร้างความร่วมมืออย่างเป็นระบบในเครือข่าย, Asset Optimization เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการสินทรัพย์, Strategic Expansion เดินหน้าการลงทุน การควบรวมกิจการ (M&A) ผ่านการลงทุนในบริษัทย่อย, ESG Commitment ขับเคลื่อนการเติบโตอย่างยั่งยืน ด้วยความรับผิดชอบต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่าย
“การพัฒนาอย่างต่อเนื่องของกลุ่มโรงพยาบาลรามคำแหง ตั้งอยู่บนวิสัยทัศน์ที่ชัดเจน เพื่อตอบโจทย์ทุกความต้องการด้านสุขภาพ ผ่านความเชี่ยวชาญ และนวัตกรรมทางการแพทย์ เครือข่ายที่ครอบคลุมทั่วประเทศช่วยให้ผู้เข้ารับบริการเข้าถึงบริการทางการแพทย์อย่างทั่วถึง ส่งมอบประสบการณ์การรักษาที่รวดเร็ว แม่นยำ และสอดคล้องกับวิถีชีวิตยุคใหม่ อันเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างระบบนิเวศด้านสุขภาพ (Healthcare Ecosystem) ร่วมสนับสนุนเป้าหมายของประเทศไทย ในการก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางการแพทย์ระดับภูมิภาค (Medical Hub) ที่สามารถดึงดูดผู้เข้ารับบริการได้จากทั่วโลก” ดร. ฤกขจี กล่าว
นายทีโบ สปิทาคิส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ฝ่ายการตลาด โรงพยาบาลรามคำแหง กล่าวว่า ปัจจุบันสัดส่วนผู้ป่วยของกลุ่มโรงพยาบาลรามคำแหงกว่า 95% เป็นคนไทย ทั้งนี้ ภายใต้การ Rebranding เพื่อขยายฐานผู้รับบริการกลุ่มคนรุ่นใหม่ ผู้ป่วยต่างชาติที่มองหาการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม โดยเฉพาะการดูแลเชิงป้องกันและส่งเสริมสุขภาพ (Preventive & Wellness) ก่อนป่วยมากขึ้น รวมถึงรองรับการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างสังคมสูงอายุ เราจึงมุ่งเน้นปรับเพิ่มการให้บริการที่เปลี่ยนผ่านจาก Sick Care สู่ Health Care ด้วยการนำเอาเทคโนโลยีดิจิทัลและนวัตกรรมการแพทย์ (Digital Health & Innovation) อาทิ AI, Telemedicine, Big Data และอุปกรณ์ตรวจวัดสุขภาพ มาเพิ่มประสิทธิภาพการวินิจฉัย การรักษา และการให้บริการที่ไร้รอยต่อ
“ตลอดหลายปีที่ผ่านมากลุ่มโรงพยาบาลรามคำแหงเติบโตต่อเนื่อง ทั้งในแง่ของจำนวนโรงพยาบาลในเครือข่ายที่ครอบคลุมทั่วประเทศ และการเป็นพันธมิตรกับโรงพยาบาลชั้นนำต่างๆ รวมถึงการขยายสู่ระดับภูมิภาค ดังนั้น การเดินหน้าปรับภาพลักษณ์ในครั้งนี้ จึงเป็นการสร้างอัตลักษณ์ใหม่ที่แข็งแกร่ง ที่สะท้อนตัวตนของเราทั้งในด้าน Caring, Trusted, Expertise และ Collaborative ผ่านความหลากหลายของเครือข่ายที่เรามี เพื่อรองรับความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่ที่มีความคาดหวังสูงขึ้น ทั้งในด้านคุณภาพการรักษาโรคซับซ้อน เทคโนโลยีการแพทย์ที่ทันสมัย และประสบการณ์ที่ดีจากการเข้ารับบริการ เนื่องจากผู้บริโภคในปัจจุบันไม่ได้ต้องการแค่รักษาเมื่อเจ็บป่วย แต่ต้องการการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม ตั้งแต่การป้องกัน การส่งเสริมสุขภาพ ไปจนถึงการฟื้นฟู การเดินหน้าปรับภาพลักษณ์ใหม่ของเรา จึงถูกออกแบบมาเพื่อสื่อสารว่าเราพร้อมเป็น สถาบันทางการแพทย์ครบวงจรของภูมิภาค ที่พร้อมดูแลสุขภาพในทุกมิติของชีวิต ไม่ใช่โรงพยาบาลที่เน้นเพียงการรักษาโรค” นายทีโบ กล่าวสรุป