GFPT:คาดกำไร 1Q16 ขยายตัวสูงแนะนำซื้อราคาเป้าหมาย 13 บาท

GFPT คาดกำไร 1Q16 ขยายตัวสูง เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน หนุนโดยต้นทุนวัตถุดิบต่ำ แต่อ่อนลง เทียบไตรมาสก่อนหน้า ตามปัจจัยฤดูกาล มีแผนขยายกำลังการผลิตรองรับอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้น (รวมทั้งจากบริษัทร่วม McKey และ GFN ด้วย)แนะนำซื้อ ให้ราคาพื้นฐาน 13 บาท


บล.ดีบีเอสฯ ระบุบทวิเคราะห์วันนี้ (25 ก.พ.) ว่า บริษัท จีเอฟพีที จำกัด (มหาชน) หรือ GFPT บริษัทรายงานกำไรสุทธิ ไตรมาส 4/58 เท่ากับ 451 ล้านบาท เติบโต 22%เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน และ 38% เทียบไตรมาสก่อนหน้า แข็งแกร่งตามคาด และเป็นไตรมาสที่ดีที่สุดในปี 58

 โดยหลักมาจากอัตรากำไรขั้นต้นที่เพิ่มเป็น 14.3% จาก 11.7% ใน ไตรมาส 3/58 และ 13.6% ใน ไตรมาส 4/57 รวมทั้งส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมเพิ่มเป็น 134 ล้านบาท จาก 94 ล้านบาทใน ไตรมาส 3/58 และ 53 ล้านบาทใน ไตรมาส 4/57 โดยหลักมาจากส่วนแบ่งกำไรของ GFN ที่ฟื้นตัวดีขึ้นหลังรับรู้รายได้ในสายการผลิตแปรรูปใหม่เต็มไตรมาส (เริ่มรับรู้สายการผลิตนี้ตั้งแต่ ไตรมาส 3/58) สำหรับทั้งปี 58 บริษัทมีกำไรสุทธิ 1,195 ล้านบาท ลดลง 33%เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน 

รายได้ปี 58 ลดลง 8% เป็น 16.5 พันล้านบาท เนื่องจาก 1. ราคาขาย By Product ในประเทศลดลงตามราคาไก่ในประเทศ (ราคาไก่ปี 58 ลดลง 16% เป็นเฉลี่ย 35.2 บาท/กก.), 2. ยอดขายอาหารปลาและกุ้งลดลงทั้งจากปัญหาโรค EMS ที่ยังคงค้างอยู่และประมงไทยผิดกฎหมาย, 3. ยอดขายลูกไก่ลดลง และ 4. ปริมาณส่งออกโดยตรงลดลง 16% เป็น 22,100 ตัน เนื่องจากแบ่งส่วนหนึ่งไปขายให้กับบริษัทร่วม คือ McKey (GFPT ถือหุ้น 49%)

ทั้งนี้ยอดขายส่วนหนึ่งได้รับการชดเชยจากการเพิ่มขึ้นของปริมาณขายไก่เป็นให้กับ GFN แล้ว สำหรับโครงสร้างรายได้ปี 58 ประกอบด้วย รายได้จากการส่งออกโดยตรง 19%, ส่งออกโดยอ้อม 8%, ขาย By Product ในประเทศ 12%, ขายไก่เป็นให้ GFN 25%, อาหารสัตว์บก 16%, อาหารปลา 6%, อาหารกุ้ง 6%, อาหารสำเร็จรูป 5% และขายลูกไก่ 2%

ตลาดส่งออกโดยตรงหลักๆ ยังเป็นญี่ปุ่นและยุโรป โดยมีสัดส่วน 54% และ 37% ตามลำดับ ส่วนที่เหลือ 9% ไปประเทศอื่นๆ โดยส่งออกเป็นไก่แปรรูป 81% ของทั้งหมด เป็นไก่สดแช่แข็ง 19% การส่งออกอยู่ในรูปดอลลาร์สหรัฐ 90% ส่วนอีก 10% อยู่ในรูปยูโร ดังนั้นเงินบาทที่อ่อนค่าก็เป็นปัจจัยบวกกับ GFPT โดยปี 58 มีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน 6 ล้านบาท

แนวโน้มกำไรไตรมาส 1/59 เติบโตได้ดีเมื่อเทียบ เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน (ไตรมาส 1/58 กำไรสุทธิเป็นฐานต่ำที่ 218 ล้านบาท) แต่จะอ่อนลง เทียบไตรมาสก่อนหน้า เพราะปัจจัยฤดูกาล (โดยปกติไตรมาส 1 จะเป็นช่วง Low season ของส่งออกไก่ และจะไปสูงสุดในช่วงไตรมาส 3)

ส่วนการเติบโต เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน เพราะราคา By Product ในประเทศเพิ่มขึ้น (คาดราคาไก่ในประเทศไตรมาส 1/58 จะเพิ่ม 4-5%เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน และราคา By Product อยู่ในทิศทางใกล้เคียงกัน) และต้นทุนวัตถุดิบอาหารสัตว์ลดลง เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน ทั้งในส่วนราคากากถั่วเหลืองและข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ยังผลให้อัตรากำไรขั้นต้นยังอยู่ในเกณฑ์ดี สำหรับทั้งปี 59

คาดว่ายอดขายจะเพิ่มขึ้น 8% (ปริมาณเติบโต 5% ราคาขายสูงขึ้น 3%) และอัตรากำไรขั้นต้นจะเพิ่มเป็น 12.6% จาก 12.2% ในปี 57 ทำให้กำไรสุทธิก่อนภาษีจะขยายตัวได้ 12% แต่สิทธิประโยชน์ทางภาษีจากผลขาดทุนสะสมเหลือไม่มาก ทำให้จะกลับมาจ่ายภาษีในอัตราประมาณ 5% ยังผลให้กำไรสุทธิบรรทัดสุดท้ายจะขยายตัว 5% 

ระยะยาวยังเติบโตได้จากการขยายกำลังการผลิต โดยในส่วนของ GFPT จะมีการขยายกำลังการผลิตฟาร์มและโรงเชือดไก่เพื่อรองรับการเพิ่มกำลังการผลิตของบริษัทร่วม คือ GFN และ McKey ซึ่ง GFPT ถือหุ้นทั้งสองบริษัทที่ 49% ทั้งนี้ McKey มีแผนขยายกำลังการผลิตเพิ่ม 20-25% เพราะขณะนี้ใช้กำลังการผลิตเต็มที่แล้ว โครงการนี้ใช้เงินลงทุนราว 3 พันล้านบาท (ของ GFPT ราว 1.5 พันล้านบาท)

โดยมาจากการกู้ยืมทั้งหมด การลงทุนทยอยทำในปี 59-60 และจะเริ่มผลิตเชิงพาณิชย์ได้ในไตรมาส 1/60 ในส่วนของ GFPT ก็จะลงทุนขยายฟาร์มให้สอดคล้องกับความต้องการซื้อของ GFN และขยายโรงเชือดให้สอดคล้องกับความต้องการซื้อของ McKey โดยมีงบลงทุนปีละ 800-1,000 ล้านบาท โดยปัจจุบัน GFPT มีกำลังการผลิตฟาร์ม 2.6-2.7 แสนตัว/วัน และกำลังการผลิตโรงเชือด 1.4 แสนตัน/วัน โดยมีแผนจะขยายฟาร์มเป็น 3.8 แสนตัว/วันในปี 2020 และเพิ่มกำลังการผลิตโรงเชือดอีกเท่าตัวใน 2-3 ปีข้างหน้า

แนะนำซื้อ โดยให้ราคาพื้นฐาน 13 บาท อิงกับ P/E ปี 59 ที่ 13 เท่า ซึ่งมี Upside จากราคาปิดเมื่อวานนี้ 17% จุดเด่นของ GFPT คือ มีการบริหารต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ทำกำไรได้แม้ในช่วงอุตสาหกรรมตกต่ำมากเพราะปัญหา Oversupply เช่นในปี 2012, มีรายได้ที่แน่นอนประมาณปีละ 220 ล้านบาท (คิดเป็น 18% ของประมาณการกำไรสุทธิปี 2016 ของเรา) ซึ่งมาจากรายได้ค่าสาธารณูปโภค ค่าหอพัก ค่าห้อง Lab ที่บริหารให้ภายนอก เป็นต้น) และหนี้สินสุทธิต่อทุนต่ำที่ 0.38 เท่าในสิ้นปี 58 ซึ่งสามารถกู้เพื่อลงทุนขยายธุรกิจได้อีกมาก ความเสี่ยงจากการเพิ่มทุนจึงต่ำมาก

Back to top button