ผลประกอบการ Q1/68

บริษัท ทรีนีตี้ วัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือ TNITY เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท ครั้งที่ 3/2568 เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2568 มีมติแต่งตั้ง ดร.วิศิษฐ์ องค์พิพัฒนกุล ให้ดำรงตำแหน่งประธานกรรมการบริหาร แทนนายภควัต โกวิทวัฒนพงศ์ ซึ่งไม่ประสงค์ต่อวาระการเป็นกรรมการ และมีมติแต่งตั้ง ดร.วีรพัฒน์ เพชรคุปต์ ให้ดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2568 ดร.วิศิษฐ์ องค์พิพัฒนกุล ในฐานะกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กล่าวว่า การปรับโครงสร้างองค์กรในครั้งนี้เป็นการแต่งตั้งผู้บริหารหลัก 2 คนเพื่อเสริมศักยภาพให้ TNITY เป็นองค์กรที่ทันสมัย โดยบริษัทมีเป้าหมายชัดเจนในการนำเทคโนโลยี AI มาใช้ในการให้บริการลูกค้าในด้านต่าง ๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานและสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้น เขาเปิดเผยเพิ่มเติมว่า บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อย ได้มีการเสริมทีมบุคลากรควบคู่กับการนำ AI มาใช้สนับสนุนการนำเสนอข้อมูลที่รวดเร็วให้แก่นักลงทุน ซึ่งส่งผลต่อเนื่องให้ผลการดำเนินงานของ TNITY ปรับตัวดีขึ้นจากปลายปี 2567 สำหรับผลประกอบการไตรมาส 1 ปี 2568 บริษัทมีกำไรสุทธิ 7.69 ล้านบาท ขณะที่บริษัทและบริษัทย่อยมีรายได้รวม 164.03 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนซึ่งอยู่ที่ 157.77 ล้านบาท โดยรายได้ค่านายหน้าจากการซื้อขายหลักทรัพย์อยู่ที่ 28.41 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16.82% จาก 24.32 ล้านบาทในปีก่อน เนื่องจากปริมาณการซื้อขายโดยรวมและของลูกค้ารายย่อยเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกัน รายได้จากธุรกิจซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (TFEX) เพิ่มขึ้นเป็น 9.39 ล้านบาท หรือเติบโต 155.16% จาก 3.68 ล้านบาทในไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ตามปริมาณการซื้อขาย TFEX ที่ขยายตัวต่อเนื่อง บริษัทมีกำไรและผลตอบแทนจากเงินลงทุนรวม 25.61 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 18.90 ล้านบาท และรายได้ดอกเบี้ยของบริษัทเพิ่มขึ้นเป็น 27.10 ล้านบาท จาก 21.30 ล้านบาท โดยเฉพาะรายได้ดอกเบี้ยจากลูกหนี้เงินให้กู้ยืมอื่นที่เพิ่มขึ้นเป็น 26.51 ล้านบาท จาก 20.59 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 28.75% ตามการขยายตัวของเงินให้กู้ยืมแก่กิจการร่วมค้า นอกจากนี้ TNITY ยังมีส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนตามวิธีส่วนได้เสียเพิ่มขึ้นเป็น 4.02 ล้านบาท หรือเติบโต 302% จาก 1.00 ล้านบาทในปีก่อน ตามผลการดำเนินงานของการร่วมค้าและบริษัทร่วมที่ฟื้นตัวดีขึ้น อย่างไรก็ตาม รายได้ดอกเบี้ยจากการให้กู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์ลดลงจาก 38.92 ล้านบาท เหลือ 28.65 ล้านบาท เนื่องจากยอดเงินให้กู้ยืมในระหว่างงวดลดลง ด้านค่าใช้จ่ายรวมอยู่ที่ 155.35 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12.26% จาก 138.39 ล้านบาทในช่วงเดียวกันปีก่อน จากค่าใช้จ่ายผลประโยชน์พนักงานที่เพิ่มขึ้นเป็น 73.08 ล้านบาท จาก 69.03 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 5.87% สอดคล้องกับรายได้ค่านายหน้าที่เพิ่มขึ้น และค่าธรรมเนียมบริการจ่ายเพิ่มขึ้นเป็น 13.92 ล้านบาท จาก 9.29 ล้านบาท หรือเติบโต 49.84% ตามปริมาณการซื้อขายที่สูงขึ้นในตลาดหลักทรัพย์และ TFEX