
ก.ล.ต.จี้”หมอวิชัย”คืนอำนาจรายย่อย เปิดทางประชุมผถห.IFECอย่างเป็นธรรม
“รพี สุจริตกุล” เผยกระทรวงพาณิชย์ไม่รับจดทะเบียนคณะกรรมการ IFEC สั่งคืนอำนาจผถห.เลือกบอร์ดบริหารใหม่ ยืนยัน พ.ร.บ.หลักทรัพย์ฯมีบทลงโทษที่ชัดเจนเพียงพอต่อการกำกับดูแลการกระทำความผิดทุกรูปแบบ
นายรพี สุจริตกุล เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ หรือ ก.ล.ต. เปิดเผยว่า กรณีความขัดแย้งภายในของบริหารบริษัท อินเตอร์ ฟาร์อีสท์ เอ็นเนอร์ยี่ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ IFEC ซึ่งมีนายวิชัย ถาวรวัฒนยงค์ ประธานกรรมการ และกรรมการบริษัท สามารถแยกออกเป็น 2 กรณี คือ ความขัดแย้งระหว่างบุคคล และการกระทำความผิดตาม พ.ร.บ.หลักทรัพย์ฯ
โดยขณะนี้ทางสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ก็แยกพิจารณาและดำเนินการตามความเหมาะสมอย่างต่อเนื่อง
“การทะเลาะกันของผู้ถือหุ้นเป็นเรื่องยากที่จะเข้าไปดำเนินการเพราะไม่มีข้อกฎหมายใดเปิดทางให้เข้าไป ที่สำคัญต่างคนต่างไม่ยอมกัน เราก็เรียกมาพบหลายครั้ง แต่ต่างก็ไม่ยอมกัน ต้องมองภาพความจริงว่าคนทะเลาะกันจะพาพูดให้ทะเลาะกันก็คงยาก แต่ถ้าเป็นเรื่องที่ผิดกฎหมาย เราดำเนินการอย่างแน่นอน แต่ระหว่างดำเนินการนี่เราเปิดเผยไม่ได้ แต่พอทำเสร็จก็ได้เห็นแน่นอน” นายรพี กล่าว
อย่างไรก็ตาม ทางกระทรวงพาณิชย์ ระบุชัดเจนแล้วว่า ไม่รับจดทะเบียนคณะกรรมการชุดใหม่ ดังนั้น ทาง IFEC ต้องคืนอำนาจให้ผู้ถือหุ้น จัดให้มีการประชุมผู้ถือหุ้นครั้งใหม่ รวมถึงผู้ถือหุ้นก็ต้องพิจารณาให้ดีว่าจะเทคะแนนให้ใครเข้ามาทำหน้าที่บริหารบริษัทดังกล่าวต่อไป
นอกจากนี้ กล่าวถึงพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ฉบับที่ 5) พ.ศ.2559 ซึ่งมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 12 ธันวาคม 2559 ว่า พรบ.ดังกล่าว นั้น ทันต่อพฤติกรรม ความผิดต่างๆ ของผู้บริหารบริษัทจดทะเบียน (บจ.) โดยเฉพาะการเพิ่มบทลงโทษทางแพ่ง ที่สามารถเรียกปรับได้สูงกว่ามูลค่าความเสียหาย 3-5 เท่า
พร้อมกันนี้การเพิ่มบทลงโทษทางแพ่งเข้ามาระหว่างรอการพิจารณาคดีทางอาญานั้น เป็นกลไกเร่งรัดให้เกิดการลงโทษผู้กระทำความผิดอย่างเป็นรูปธรรมให้เร็วขึ้น รวมถึงหากสามารถนำฐานการดำเนินความผิดที่ ก.ล.ต.พิจารณาแล้วไปขึ้นบัญชีดำไม่ให้ผู้กระทำผิดสามารถกลับมารับหน้าที่บริหารงานได้อีกต่อไป
อย่างไรก็ตาม ระหว่างการดำเนินงาน ทางหน่วยงานไม่สามารถเปิดเผยขั้นตอนการทำงานได้อย่างชัดเจน เนื่องจากพฤติกรรมความผิดแต่ละกรณีแตกต่างกัน รวมถึงมีหลายกรณีที่ไม่ปรากฏความผิดอย่างชัดเจนหากเปิดเผยการทำงานอาจส่งผลโดยตรงต่อการสืบค้นข้อเท็จจริง อย่างไรก็ตามอยากให้นักลงทุนติดตามข่าวสาร และพิจารณาอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุน