
ส่อง 3 หุ้น IPO ตบเท้าเข้าเทรดส่งท้ายปี 63
ส่อง 3 หุ้น IPO ตบเท้าเข้าเทรดส่งท้ายปี 63
“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ได้ทำการสำรวจและรวบรวมข้อมูลบทวิเคราะห์ที่เกี่ยวข้องกับบริษัทจดทะเบียนน้องใหม่ที่ทำการเสนอขายหุ้นให้กับประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) และมีกำหนดเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ในสัปดาห์หน้า
ทั้งนี้ พบว่ามี 3 บริษัทจดทะเบียนที่ได้ทำการเสนอขายหุ้น IPO และจะทำการเข้าซื้อขาย ได้แก่
1. บริษัท อินเด็กซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ IND ผู้ประกอบธุรกิจด้านวิศวกรรมที่ปรึกษา ทั้งด้านงานสำรวจและศึกษาความเหมาะสมของโครงการ งานออกแบบเบื้องต้นและออกแบบรายละเอียด งานควบคุมการก่อสร้างและงานบริหารโครงการ และงานออกแบบพร้อมก่อสร้าง ซึ่งจะทำการเสนอขายหุ้นให้กับประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) ในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) กลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง มีกำหนดเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ในวันที่ 22 ธ.ค.2563
โดยจะเสนอขายหุ้น IPO จำนวนไม่เกิน 90 ล้านหุ้น คิดเป็นไม่เกินร้อยละ 25.71 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัท และกำหนดราคาเสนอขายหุ้น IPO ที่ 1.10 บาทต่อหุ้น คิดเป็นอัตราส่วนราคาหุ้นต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E ratio) ที่ระดับ 34.25 เท่าหุ้น โดยมูลค่ารวมที่เสนอขาย พันล้านบาท
ทั้งนี้ IND มีบริษัท แอสเซท โปร แมเนจเม้นท์ จำกัด เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และมีผู้ร่วมจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย ประกอบด้วย บล.ฟินันเซีย ไซรัส, บล.โนมูระ พัฒนสิน, บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย), บล.ยูโอบีเคย์เฮียน(ประเทศไทย),บล.ทรีนีตี้ , บล.เคทีบี (ประเทศไทย) , บล.เคจีไอ (ประเทศไทย)
วัตถุประสงค์ใช้เงินระดมทุน IPO
1.ลงทุนในระบบคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์ และซอฟแวร์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานและการให้บริการ จำนวน 35 ล้านบาท ภายในปี 2565
2.เงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจ จำนวน 47.70 ล้านบาท ภายในปี 2564
รายได้และกำไรย้อนหลัง 3 ปี
สำหรับผลการดำเนินงานในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา โดยในปี 2560 มีรายได้ 1,171 ล้านบาท กำไรสุทธิ 43.21 ล้านบาท ช่วงปี 2561 มีรายได้ 1,658 ล้านบาท กำไรสุทธิ 773 ล้านบาท และปี 2562 มีรายได้ 773 ล้านบาท กำไรสุทธิ 31.62 ล้านบาท ขณะที่ 9 เดือนของปี 2563 บริษัทมีรายได้อยู่ที่ 400 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 5.30 ล้านบาท
2.บริษัท เคอรี่ เอ็กซ์เพรส (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ กับ KEX ผู้ประกอบธุรกิจบริการจัดส่งพัสดุในประเทศไทย โดยแบ่งกลุ่มลูกค้าเป็น 3 กลุ่มหลัก ได้แก่ 1. ธุรกิจ ส่งถึง ธุรกิจ (B2B) 2. ธุรกิจ ส่งถึง บุคคล (B2C) และ3. บุคคล ส่งถึง บุคคล (C2C) ซึ่งจะทำการเสนอขายหุ้น IPO ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) กลุ่มบริการหมวดธุรกิจขนส่งและโลจิสติกส์ มีกำหนดเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ในวันที่ 24 ธ.ค.2563
โดยจะเสนอขายหุ้น IPO จำนวนไม่เกิน 300 ล้านหุ้น คิดเป็นไม่เกินร้อยละ 17.24% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัท และกำหนดราคาเสนอขายหุ้น IPO ที่ 28 บาทต่อหุ้น คิดเป็นอัตราส่วนราคาหุ้นต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น(P/E ratio) ที่ระดับ 33.41 เท่า โดยมีมูลค่าเสนอขายรวม 8.4 พันล้านบาท
ทั้งนี้ KEX มีธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) และบริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด(มหาชน) เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน
วัตถุประสงค์ใช้เงินระดมทุน IPO
1. ขยายเครือข่ายจัดส่งพัสดุด่วน การลงทุนในระบบการขนส่งเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน และการพัฒนาด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ จำนวน 4,370 ล้านบาท (ภายในปี 2564-2566)
2. ชำระหนี้คืนแก่ธนาคาร จำนวน 800 ล้านบาท (ภายในปี 2563-2564)
3. เงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจ จำนวน 2,077-2,961 ล้านบาท
รายได้และกำไรย้อนหลัง 3 ปี
สำหรับผลการดำเนินงานในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (ปี 2560-2562) คิดเป็นการเติบโตเฉลี่ยที่ 72.8% และกำไรสุทธิเติบโตเฉลี่ย 34.9% โดยในปี 2560 มีรายได้ 6,626.41 ล้านบาท กำไรสุทธิ 730.26 ล้านบาท ช่วงปี 2561 มีรายได้ 13,565.35 ล้านบาท กำไรสุทธิ 1,185.10 ล้านบาท และปี 2562 มีรายได้ 19,781.93 ล้านบาท กำไรสุทธิ 1,328.55 ล้านบาท
ขณะที่ 9 เดือนของปี 2563 บริษัทมีรายได้อยู่ที่ 14,689 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 1,030 ล้านบาท เติบโต 14.4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
โดย นายอเล็กซ์ อึ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร KEX มองว่า KEX จะเติบโตไปพร้อมกันกับอุตสาหกรรมอีคอมเมิร์ซและโซเชียลคอมเมิร์ซ ซึ่งคาดจะมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปีราว 20% ภายในอีก 5 ปี (63-67) จากปัจจุบันที่มีส่วนแบ่งยอดขายออนไลน์จากยอดขายปลีกรวมทั้งหมด 3.7% ในปี 62 ซึ่งถือว่าตลาดอีคอมเมิร์ซในประเทศไทยยังคงอยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับประเทศที่พัฒนาแล้ว แสดงให้เห็นถึงโอกาสเติบโตสูงในอนาคต รวมถึงจะเติบโตในลักษณะOrganic Growth ด้วย โดยมีความสนใจที่จะเข้าลงทุนซื้อกิจการ (M&A) ในธุรกิจที่มีความเกี่ยวเนื่องกันเพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับบริษัทในอนาคต
จุดให้บริการทั่วประเทศกว่า 15,000 แห่ง
ทั้งนี้ในปัจจุบัน KEX ให้บริการจัดส่งพัสดุแบบครบวงจร ครอบคลุมกลุ่มลูกค้าทุกประเภท และมีเครือข่ายการให้บริการครอบคลุมทั้ง 77 จังหวัด โดยข้อมูล ณ วันที่ 30 ก.ย.63 มีจุดให้บริการกว่า 15,000 แห่ง มีศูนย์คัดแยกพัสดุหลัก9 แห่ง ศูนย์กระจายพัสดุกว่า 1,200 แห่ง และ รถจัดส่งพัสดุภายใต้การบริหารของบริษัทกว่า 25,000 คัน ทั้งยังมีศักยภาพในการให้บริการ เป็นแบรนด์ที่ได้รับการยอมรับจากผู้บริโภค และอยู่ในอุตสาหกรรมที่ได้รับประโยชน์จากเทรนด์การเติบโตของธุรกิจอีคอมเมิร์ซและโซเชียลคอมเมิร์ซซึ่งจะส่งผลดีต่อความต้องการใช้บริการจัดส่งพัสดุด่วนโดยการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ จะช่วยเพิ่มศักยภาพทางธุรกิจและความแข็งแกร่งของฐานะการเงินแก่บริษัท
6 จุดเด่น
1. การเป็นผู้นำด้านการให้บริการจัดส่งพัสดุภาคเอกชนในประเทศไทยจากปริมาณโดยเฉลี่ยของพัสดุที่จัดส่งต่อวันคิดเป็นทั้งสิ้นเฉลี่ยกว่า 12 ล้านชิ้นต่อวันทำการ โดยลูกค้าของบริษัทประกอบด้วยผู้ประกอบธุรกิจ และผู้บริโภคที่หลากหลาย ทั้งในรูปแบบธุรกิจ C2C, B2B และ B2C รวมถึงบริษัทที่เป็นผู้นำธุรกิจอีคอมเมิร์ซในไทย
2.มีการดำเนินธุรกิจขนาดใหญ่และรูปแบบการกระจายพัสดุจากศูนย์กลางแบบ Hub-and-Spoke และ Flexible Asset Management
3.เป็นผู้นำอุตสาหกรรมด้านคุณภาพการให้บริการและความน่าเชื่อถือ เห็นได้จากอัตราการจัดส่งพัสดุตรงตามเวลาของบริษัทอยู่ในระดับสูงคิดเป็น 99% และมีอัตราส่งคืนพัสดุต่ำกว่า 1.5% และอัตราพัสดุชำรุดเสียหายต่ำ
4.มีพันธมิตรทางธุรกิจที่โดดเด่นส่งผลให้มีการเติบโตด้านปริมาณและส่งเสริมแบรนด์ของบริษัทช่วยให้บริษัทขยายเครือข่ายการดำเนินงานครอบคลุมยิ่งขึ้น
5.มีสถานะทางการเงินที่เข้มแข็ง การเติบโตที่ดีเยี่ยม การดำเนินการที่มีประสิทธิภาพความสามารถในการกำหนดราคาและรายได้จากหลายช่องทาง
6. มีคณะผู้บริหารที่มีแนวคิดแบบผู้ประกอบการและมีประสบการณ์สูงภายใต้วัฒนธรรมองค์กรที่แข็งแกร่งโดยผู้บริหารระดับอาวุโสร่วมงานกับบริษัทมากกว่า 10 ปีทำให้บริษัทได้เสริมสร้างวัฒนธรรมองค์กรแบบผู้ประกอบการที่มีความเข้มแข็ง กระจายอำนาจการตัดสินใจไปสู่แต่ละพื้นที่เพื่อแก้ไขปัญหาให้สอดคล้องกับพื้นที่นั้นๆ
3. บริษัท ไซมิส แอสเสท จำกัด (มหาชน) หรือ SA ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อที่อยู่อาศัยประเภทโครงการคอนโดมิเนียม บ้านจัดสรร ทาวน์โฮม และโฮมออฟฟิศ และให้บริการบริหารงานนิติบุคคลให้กับโครงการต่างๆ ของบริษัท จะทำการเสนอขายหุ้นให้กับประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) กลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง หมวดธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ มีกำหนดเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ในวันที่ 25 ธ.ค.2563
โดยจะเสนอขายหุ้น IPO จำนวนไม่เกิน 150 ล้านหุ้น คิดเป็นประมาณร้อยละ 13.5 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดของบริษัท และกำหนดราคาเสนอขายหุ้น IPO ที่ 5.50 บาทต่อหุ้น คิดเป็นอัตราส่วนราคาหุ้นต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E ratio) ที่ระดับ 14.90 เท่า โดยมูลค่ารวมที่เสนอขาย 825 ล้านบาท
ทั้งนี้ SA มีบริษัท ที่ปรึกษา เอเซีย พลัส จำกัด เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน โดยแต่งตั้ง บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัสจำกัด และบริษัทหลักทรัพย์ กรุงไทย ซีมิโก้ จำกัด เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่าย พร้อมแต่งตั้งบริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) และบริษัทหลักทรัพย์ เคทีบี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เป็นผู้จัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย
วัตถุประสงค์ใช้เงินระดมทุน IPO
1. พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ เช่น โครงการ Blossom Condo @ Fashion 3 โครงการ Blossom Condo @ TSH Station และโครงการ Above 39 จำนวน 127.5 ล้านบาท (ภายในปี 2564-2565)
2. ชำระคืนเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงิน จำนวน 550 ล้านบาท (ภายในปี 2563)
3. เงินทุนหมุนเวียนในการประกอบกิจการ แบ่งเป็น เงินทุนหมุนเวียนของบริษัท สำหรับธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์จำนวน 70 ล้านบาท (ภายในปี 2564) และ เงินทุนหมุนเวียนของบริษัทย่อย สำหรับธุรกิจร้านอาหาร จำนวน 30 ล้านบาท (ภายในปี 2564)
รายได้และกำไรย้อนหลัง 3 ปี
สำหรับผลการดำเนินงานในช่วง 3 ปีย้อนหลัง (ปี 2560-2562) โดยในปี 2560 มีรายได้ 1,434.7 ล้านบาท กำไรสุทธิ 65.7 ล้านบาท ช่วงปี 2561 มีรายได้ 2,084.3 ล้านบาท กำไรสุทธิ 152.3 ล้านบาท และปี 2562 มีรายได้ 3,525.2 ล้านบาท กำไรสุทธิ 618.30 ล้านบาท ขณะที่ 9 เดือนของปี 2563 บริษัทมีรายได้อยู่ที่ 2,060.6 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิอยู่ที่283.9 ล้านบาท
ตุน Backlog กว่า 9 พันล้านบาท
โดยปัจจุบันบริษัทมีโครงการอสังหาริมทรัพย์ในมืออยู่ราว 13 โครงการ มูลค่ารวม 32,000 ล้านบาท ซึ่ง 80% จะอยู่ในทำเล CBD และ New CBD ขณะที่มียอดขายรอโอนกรรมสิทธิ์ (Backlog) อยู่ที่ 9,446 ล้านบาท ซึ่งจะสามารถทยอยรับรู้รายได้ตั้งแต่ไตรมาส 4/63 จนไปถึงปี 2566 ขณะที่ในปี 2564 บริษัทมีแผนจะเปิดโครงการใหม่เพิ่มเติมอีกราว 2 โครงการ มูลค่ารวม 5,981 ล้านบาท
4 จุดเด่น
1.มีทีมบริหารที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในธุรกิจก่อสร้างกว่า 30 ปี ในการนำนวัตกรรมต่างๆ มาประยุกต์กับการออกแบบและพัฒนาโครงการ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการก่อสร้าง ทำให้สามารถควบคุมการบริหารจัดการต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
2.ผลประกอบการเติบโตต่อเนื่องจากปี 2559-2562 รายได้เติบโตเฉลี่ย 47.7% ต่อปี และต้นทุนเฉลี่ยลดลง 15% ภายในระยะเวลา 4 ปี
3.มีโมเดลการพัฒนาโครงการที่แตกต่างเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินทรัพย์ โดยมุ่งเน้นการพัฒนา Branded Residence ที่มอบประสบการณ์การบริการของโรงแรมชั้นนำ ซึ่ง Branded Residence จะช่วยดึงดูดทั้งลุกค้าที่พักอาศัยเอง และลูกค้าที่เป็นนักลงทุน โดยจะมีบริการเพื่อปล่อยเช่าแบบครบวงจร อาทิ การจัดหาและคัดเลือกผู้เช่า
4.มีรูปแบบการดำเนินธุรกิจที่ยืดหยุ่น สามารถตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็ว จึงดำเนินธุรกิจได้ดีทั้งในภาวะตลาดขาขึ้นและช่วงที่ตลาดชะลอตัว