
ขายหนี!
ในที่สุดตลาดหุ้นไทยก็กลับมาป้วนเปี้ยนแถว 1,200 จุด และลงไปต่ำกว่าระดับดังกล่าวอีกครั้ง หลังนักลงทุนไม่อินกับข่าวดีที่ถูกโปรยออกมาเป็นช่วง ๆ
ในที่สุดตลาดหุ้นไทยก็กลับมาป้วนเปี้ยนแถว 1,200 จุด และลงไปต่ำกว่าระดับดังกล่าวอีกครั้ง หลังนักลงทุนไม่อินกับข่าวดีที่ถูกโปรยออกมาเป็นช่วง ๆ ผนวกกับบรรดาขาเม้าท์พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนไตรมาส 1 ปี 68 ไม่เป็นเหมือนที่ประเมินไว้ก่อนหน้านี้ จึงทำให้ตลาดหุ้นไทยตกอยู่ในภาวะ “ขายเมื่อมีข่าวจริง” ซึ่งเป็นแรงกดดันที่ทำให้เดือน พ.ค. มีแรงขายออกมาไม่หยุดหย่อนพะย่ะค่ะ
ประกอบกับเรื่องสงครามการค้าของประเทศต่าง ๆ คลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้น แต่ของประเทศไทยกลับคืบหน้าเพียงแค่นิดหน่อยแบบนี้ พวกนักลงทุนสถาบันถึงเร่งขายหุ้นออกมาทุกครั้งเมื่อเริ่มไม่มั่นใจ “โมนิก้า” ในฐานะคนที่เป็นกองเชียร์เลยรู้สึกห่อเหี่ยวตามไปด้วย และเข้าใจเหตุผลที่ดัชนีลงมายืนปิดที่ระดับ 1,194.49 จุด ลบไป 22.22 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 4.57 หมื่นล้านบาทอย่างแจ่มแจ้งนะจะบอกให้
สำหรับประเด็นที่ทำให้ “โมนิก้า” รู้สึกหนักใจทุกครั้งเวลาหุ้นตกหนักคือ เสียงค่อนแคะจากนักลงทุนบางกลุ่มที่พูดถึงธุรกิจของไทยว่า ไม่มีนวัตกรรมใหม่ ๆ ที่จะมาพลิกโฉมประเทศ! ส่งผลให้สภาพเศรษฐกิจหดตัวทุกปี รวมถึงมุมมองที่มีต่อตลาดหุ้นไทยในสายตาต่างชาติก็แย่ลงเรื่อย ๆ อีฉันเลยจนปัญญาที่จะบิ้วให้นักลงทุนมีความเชื่อมั่นในการลงทุนมากขึ้นกว่าเดิม เพราะมันไม่มีปัจจัยบวกเข้ามาซัพพอร์ตเลยจริง ๆ เจ้าค่ะ
ประเด็นดังกล่าวดูได้จากสถานการณ์ของหุ้น AOT ที่มีแรงขายออกมาเป็นจำนวนมาก จนราคาหุ้นลงมายืนปิดที่ระดับ 35 บาท ลบไป 2.50 บาท หรือลงไป 6.70% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 4.99 พันล้านบาท ล้วนเป็นผลมาจากกำไรไตรมาส 2 (ม.ค.-มี.ค.) ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งสอดรับกับข้อมูลก่อนหน้านี้ที่บอกไว้ว่า นักท่องเที่ยวลดลง! นักเล่นเลยอนุมานต่อไปว่า ไตรมาส 3 กำไรน่าจะลดลงอีกแบบนี้..อยู่ทำไมล่ะคะ
เช่นเดียวกับสถานการณ์ของ SAWAD ที่อยู่ในช่วงแกว่งตัวลงอีกครั้ง ก็เป็นผลมาจากกำไรไตรมาส 1 ลดลง 13% ซึ่งทำให้นักลงทุนวิตกกันเป็นแถวว่า ไตรมาส 2 จะเป็นอย่างไร? ในเมื่อทุกคนก็รู้สภาพเศรษฐกิจมันมีแต่ทรุดลง แถมผู้คนเป็นหนี้กันมากขึ้นเรื่อย ๆ อีฉันเลยไม่แปลกใจที่นักลงทุนพากันขายหุ้นเพื่อลดความเสี่ยงกันเป็นแถว วานนี้ถึงเห็นหุ้นลงมายืนปิดที่ระดับ 21 บาท ลบไป 3.40 บาท หรือลงไป 13.95% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 809 ล้านบาทไงล่ะคะ
อีกหนึ่งตัวอย่างที่ทำให้ “โมนิก้า” เข้าใจสภาพกระเป๋าแฟบได้ดีสุดคือ กำไรของ JMT ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ แถมใคร ๆ ก็รู้ดีว่า เจ้าพ่อทวงหนี้รายนี้คลุกคลีกับกลุ่มลูกค้าที่เป็นรากหญ้ามานาน และการที่กำไรของบริษัทลดลง ก็คงเป็นผลมาจากลูกหนี้ไม่มีเงินผ่อน เลยทำให้ทุกคนกังวลกันว่า ไตรมาส 2 กำไรอาจลดลงอีก วานนี้จึงมีแรงขายถล่มทั้งวัน จนราคาหุ้นยืนปิดที่ระดับ 10.80 บาท ลบไป 1.80 บาท หรือลงไป 14.30% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 514 ล้านบาทไงล่ะคะ
ขนาดหุ้นตัวจี๊ดอย่าง NCAP ที่ว่ากำไรโตกระหึ่ม และมีขาประจำคอยพยุงหุ้น ยังต้องยอมมอบตัวกับเขาด้วย เพราะสภาพเศรษฐกิจมันขมุกขมัวเหลือเกิน ผนวกกับบรรยากาศตลาดหุ้นก็ไม่เป็นใจ วานนี้จึงเห็นหุ้นลงมากองอยู่ที่ระดับ 2.82 บาท ลบไป 0.40 บาท หรือลงไป 12.40% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 102 ล้านบาท และเป็นการร่วงต่อเนื่องวันที่ 4 แบบนี้..หุ้นมีโอกาสลงต่อสูงนะจะบอกให้
ก่อนจากกัน “โมนิก้า” ขอพูดถึงงาน “Thailand’s Capital Market Forum 2025” ที่จะจัดขึ้นวันที่ 17 พ.ค. 2568 เวลา 13.00-17.00 น. ณ ตลาดหลักทรัพย์ฯ อีกครั้ง เพราะอยากชี้ให้เห็นโอกาสของตลาดหุ้นไทยในยุคข่าวสารรวดเร็วฉับไวว่า นักลงทุนควรมาฟังผู้รู้ที่รับผิดชอบเกี่ยวกับการกระตุ้นเศรษฐกิจไทยด้วยตัวเอง เพื่อจะได้ประเมินสภาพตลาดหุ้นได้อย่างแม่นยำ.. งานนี้ขอย้ำว่า ข้อมูลที่นำเสนอในวันงานอัดแน่นไปด้วยเนื้อหาสาระที่เป็นประโยชน์ต่อการลงทุนแบบเต็ม ๆ นะคะ
โมนิก้า: และทีมงาน