NER บวก 3% เล็งอัพเป้ารายได้ปี 65 ทะลุ 2.8 หมื่นลบ. ราคาขายยางเฉลี่ยพุ่ง 64 บ.

NER บวก 3% เก็งงบ Q1 สดใส เล็งปรับเป้ารายได้ปี 65 ทะลุ 2.8 หมื่นลบ. ราคาขายยางเฉลี่ยพุ่ง 64 บ. พร้อมตั้งเป้ายอดขายอินเดีย 50,000 ตัน คิดเป็น 10% ของยอดขายรวม โบรก แนะนำ "ซื้อ" เป้า 9.90 บาท


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (29 เม.ย. 2565)ราคาหุ้น บริษัท นอร์ทอีส รับเบอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ NER ณ เวลา 15:56 น. อยู่ที่ระดับ 6.80 บาท บวกไป 0.20 บาท หรือขึ้นไป 3.03% โดยทำจุดสูงสุดที่ 6.80 บาท และทำจุดต่ำสุดที่ 6.65 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 50.12 ล้านบาท

นายชูวิทย์ จึงธนสมบูรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร NER ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการ “ข่าวหุ้น” ออกอากาศทาง MCOT HD ช่อง 30 ว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/2565 เติบโตมากกว่าเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาส 4/2564 ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติตามฤดูกาล เนื่องจากไตรมาส 4 จะเป็นไตรมาสที่มีรายได้และกำไรสูงที่สุดของ NER ซึ่งกำไรบางปีที่สูงมาจากมาร์จิ้นที่สูงตามราคาวัตถุดิบที่ได้มาค่อนข้างถูก เป็นต้น

ขณะที่เป้าหมายรายได้จากการขายในปี 2565 ที่ตั้งไว้ 28,000 ล้านบาท และตั้งเป้าหมายมีปริมาณการขายรวม 480,000-500,000 ตัน ภายใต้การประเมินราคาขายเฉลี่ยทุกผลิตภัณฑ์ที่ 55 บาท แต่ตั้งแต่ต้นปี 2565 ราคาขายเฉลี่ยปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบันมีราคาขายเฉลี่ย 64 บาท ซึ่งปรับเพิ่มขึ้นมามากกว่า 10%  ดังนั้นมีโอกาสที่ภาพรวมทั้งปี 2565 รายได้จากการขายจะสูงกว่าเป้าหมายที่วางไว้ เป็นไปตามราคาขายเฉลี่ยที่สูงขึ้น อย่างไรก็ตามบริษัทยังคงเป้าหมายไว้คงเดิม และหากมีความชัดเจนจะประกาศปรับเพิ่มเป้าหมายต่อไป สำหรับในปี 2565 บริษัทมีกำลังการผลิต หรือปริมาณการขายเพิ่มขึ้นมา 50,000 ตัน รวมเป็น 510,000 ตัน จากปี 2564 ที่มีกำลังการผลิต หรือปริมาณการขาย 460,000 ตัน

โดยในปี 2565 บริษัทได้มีการปรับนโยบายในการจำหน่ายสินค้าใหม่ ด้วยการจำหน่ายภายในประเทศมากขึ้น ทั้งจำหน่ายให้กับลูกค้าจีนฐานเดิมที่ย้ายเข้ามาตั้งโรงงานในประเทศไทย และได้ลูกค้าผู้ผลิตล้อยางสัญชาติไทย ซึ่งเป็นลูกค้ารายใหญ่ที่สุดของกลุ่มลูกค้าในประเทศ ส่งผลให้ยอดขายเงินบาทปรับตัวเพิ่มขึ้น 5-10% จากยอดเดิม และช่วยลดปัญหาขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยน เพราะที่ผ่านมาได้ Matching Order ไว้ทั้งระบบ

ทั้งนี้บริษัทมองว่ายังไม่มีปัญหาใด ๆ ในแผนงานการดำเนินธุรกิจในตอนนี้ โดยธุรกิจมีปัจจัยบวกเป็นส่วนใหญ่ และงบไตรมาส 1/2565 จะมีการประชุมคณะกรรมการบริษัทเพื่ออนุมัติงบการเงินและแจ้งงบประมาณช่วงสัปดาห์ที่สองของเดือน พฤษภาคม 2565

ส่วนเรื่องเงินบาทอ่อนค่า หรืออัตราแลกเปลี่ยนนั้น ไม่ได้มีปัญหาต่อภาพรวมการดำเนินงานของบริษัทแต่อย่างใด เนื่องจากได้มีการเปลี่ยนนโยบายการจำหน่ายสินค้า และยังได้เปลี่ยนการกำหนดค่าเงินดอลลาร์ใหม่ในส่วนที่ขายล่วงหน้าไว้ หรือสัญญาซื้อขายเงินตราต่างประเทศล่วงหน้า (Forward) จากเดิม 80-100% เป็น 60-80% ทำให้อัตราแลกเปลี่ยนในภาวะเงินบาทอ่อนค่าเป็นผลดีต่อบริษัทเหมือนปกติทั่วไป

นายชูวิทย์ กล่าวต่อว่า ในส่วนกรณีการล็อกดาวน์ของประเทศจีน มีความน่าเป็นห่วงบ้าง แต่การล็อกดาวน์มีเพียงเซี่ยงไฮ้ และปักกิ่ง ที่เป็นเมืองใหญ่ แต่ฐานการผลิตล้อยาง ซึ่งเป็นลูกค้าหลักของ NER อยู่ที่ซานตง เมืองชิงเต่า โดยปัจจุบันยังมีการค้าขาย และทำงานได้ตามปกติ ที่สำคัญยังมีข้อสังเกตว่ายังมีคำสั่งซื้อ (Order) จากจีนมาอย่างสม่ำเสมอเป็นปกติไม่มีการเปลี่ยนแปลง และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งนี้ ปัจจุบันบริษัทมียอดขายล่วงหน้ายาวไปถึงเดือนกันยายน 2565 แล้ว

“ปัญหาจริง ๆ ที่พบ คือ ค่าระวางที่แพงขึ้น ซึ่งทุกผู้ประกอบการเจอปัญหาแบบเดียวกันหมด และตู้คอนเทนเนอร์ที่หาได้ยาก แต่ในช่วงไตรมาส 2/2565 ตู้คอนเทนเนอร์เริ่มหาได้ง่ายขึ้นแล้ว แต่ราคาไม่ปรับลดลง  อย่างในไตรมาส 1/2565 มียอดขายที่ขายไปแล้วตั้งแต่ไตรมาส 4/2564 และส่งมอบในไตรมาส 1/2565 แต่ตู้คอนเทนเนอร์หาได้ไม่ครบ จึงมีการจัดส่งล่าช้า (delay shipment) ออกไป 5,000 ตัน จากเป้าทั้งหมด 100,000 ตัน ถือว่าน้อยมาก แต่แลกมาด้วยราคาขายที่สูงขึ้น เพราะตั้งแต่ต้นปี 2565 ทิศทางราคาขายโลกปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน ถือเป็นผลบวกต่อการดำเนินธุรกิจ ดังนั้นเมื่อมียอดขายที่เกิดจากไตรมาส 1/2565จะยิ่งส่งผลบวกต่อผลการดำเนินงานในไตรมาสถัดไปให้สูงขึ้น” นายชูวิทย์ กล่าว 

ส่วนความคืบหน้าของลูกค้าอินเดียมีลูกค้า 5 ราย ได้ผ่านการตรวจสอบคุณภาพโรงงานไปแล้ว โดยลูกค้า 3 ราย ที่ได้ผ่านการตรวจสอบคุณภาพโรงงานไปเมื่อปลายปี 2564 ปัจจุบันมีคำสั่งซื้อเข้ามาอย่างเป็นทางการแล้ว ซึ่งเบื้องต้นมี 1 รายเป็นสัญญาระยะยาวกับลูกค้า (Long Term Contact) 400-500ตัน และลูกค้า 2 รายใหม่ที่พึ่งได้ผ่านการตรวจสอบคุณภาพโรงงานไปเมื่อช่วงก่อนเทศกาลสงกรานต์ ประมาณเดือน กรกฎาคม 2565 จะเริ่มส่งสินค้าตัวอย่าง

สำหรับในปี 2565 บริษัทวางเป้าหมายยอดขายไว้ที่ 500,000 ตัน  โดยยอดขายจากลูกค้าประเทศอินเดีย ประมาณ 50,000 หรือคิดเป็นสัดส่วน 10% ของยอดขายรวม แต่คาดว่าจะทำได้เกินเป้าหมายที่วางไว้ ถือเป็นตลาดที่บริษัทคาดหวังไว้เยอะในอนาคต เหมือนกับตอนที่บริษัทเข้าไปเจาะตลาดจีนเมื่อ 15 ปีก่อน ที่เคยมองว่าตลาดจีนมีโอกาสเติบโตได้ และเป็นไปตามที่คาดการณ์ แต่ปัจจุบันตลาดจีนเริ่มอิ่มตัว จึงได้มองหาตลาดใหม่ที่มีทิศทางเติบโตอย่างอินเดียตามที่กล่าวมาข้างต้น เบื้องต้นมั่นใจว่าจะมีการเติบโตไม่แพ้ตลาดจีนทั้งจำนวนประชากร และประชาชนที่มีความรู้ที่ดี จึงทำให้ตลาดอินเดียมีข้อดีค่อนข้างเยอะ

นอกจากนี้ ในส่วนของความคืบหน้าของธุรกิจแผ่นปูรองนอนปศุสัตว์ โดยได้รับเครื่องจักรส่งมอบถึงโรงงานแล้ว และหลังจากดำเนินการติดตั้งเครื่องจักรเสร็จ จะมีความชัดเจนมากขึ้น และมีผลิตภัณฑ์ออกมาให้เห็นในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2565 ซึ่งเป็นสินค้าที่มีมาร์จิ้นค่อนข้างสูงกว่าธุรกิจต้นน้ำในตอนนี้ และแรกเริ่มมีตลาดส่งมอบรองรับแล้ว เช่น อินโดนีเซีย เวียดนาม ไทย และญี่ปุ่น เป็นต้น

ส่วนกรณีที่ราคาหุ้นมีการปรับตัวลดลง เชื่อว่าเป็นไปตามกลไกตลาด โดยสภาพคล่องในการซื้อขายหุ้นของ NER ปัจจุบันยังมีคำสั่งซื้อจากต่างประเทศเข้ามาอย่างต่อเนื่อง

บริษัทหลักทรัพย์ ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุว่า ขณะนี้แนะนำ “ซื้อ” หุ้น NER กำหนดราคาเป้าหมายที่ 9.90 บาทต่อหุ้น คาดกำไรในช่วงไตรมาส 1/2565 จะอยู่ที่ 470 ล้านบาท เติบโต 28.3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน แม้จะได้รับผลกระทบจากค่าใช้จ่าย ซึ่งคาดจะเพิ่มขึ้น 55% จากปริมาณส่งออกที่เพิ่มขึ้น ทำให้ค่า Cess (เงินสงเคราะห์ยาง) เพิ่มขึ้น และภาษีจ่ายเพิ่มขึ้นจากกำไรที่เพิ่มขึ้น อีกทั้งอัตราภาษีจ่ายเพิ่มขึ้น จากยังไม่ได้ BOI ฉบับใหม่ที่ขอมา

ทั้งนี้ ในช่วงไตรมาส 1/2565 จะได้รับปัจจัยบวกจากยอดขายที่ทำได้ 5,568 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งมีปริมาณขายที่ 96,000 ตัน เพิ่มขึ้น 7% (ต่ำกว่าคาดจากปัญหาขาดแคลนเรือและค่าขนส่งที่แพง ทำให้มีการเลื่อนส่งมอบ) ราคาขายเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 5% ซึ่งราคาขายที่เพิ่มขึ้นส่งผลให้มาร์จิ้นเพิ่มเป็น 13.6% จาก 12.8%

อย่างไรก็ตามกำไรในช่วงไตรมาส 1/2565 ลดลง 22.20% จากไตรมาสก่อน เนื่องจากมีต้นทุนวัตถุดิบราคาต่ำมากเฉลี่ยต้นทุนให้ลดลงทำให้กำไรลดลงจากไตรมาสก่อน

นอกจากนี้ ทางฝ่ายวิเคราะห์ยังคาดผลการดำเนินงานในช่วงที่เหลือของปีนี้ยังดี จากปริมาณขายที่เพิ่มขึ้น จากการเลื่อนส่งมอบและคำสั่งซื้อจากลูกค้าใหม่ที่ทยอยส่งมอบ ขณะที่แนวโน้มราคายังอยู่ในระดับสูง ส่วนกำลังการผลิตใหม่ คาดจะเริ่มผลิตในช่วงต้นไตรมาส 3/2565 รวมถึงในส่วนของธุรกิจใหม่

Back to top button