พาราสาวะถี

ร้อนแรงขึ้นมาทันทีทันใด เมื่อ “อุ๊งอิ๊ง” แพทองธาร ชินวัตร โพสต์อวยพรวันคล้ายวันเกิด ทักษิณ ผู้เป็นพ่อในวันที่ 26 กรกฎาคม


ร้อนแรงขึ้นมาทันทีทันใด เมื่อ “อุ๊งอิ๊ง” แพทองธาร ชินวัตร โพสต์อวยพรวันคล้ายวันเกิด ทักษิณ ผู้เป็นพ่อในวันที่ 26 กรกฎาคม พร้อมข้อความยืนยัน “แต่ปีนี้ลูกยังไม่อยากเชื่อตัวเอง ในสิ่งที่ลูกกำลังจะพิมพ์ พ่อจะกลับมาแล้ว วันที่ 10 สิงหาคมนี้ ที่สนามบินดอนเมือง” ไม่ใช่แค่ความน่าสนใจว่ากลับมาแล้วอดีตนายกรัฐมนตรีจะต้องถูกดำเนินการอย่างไรกับคดีความที่มีโทษจำคุกรออยู่ แต่น่าติดตามว่าอะไรจึงทำให้กล้าที่จะมั่นใจและตอกย้ำเช่นนั้น

เพราะกระบวนการโหวตเลือกนายกฯ ยังไม่เสร็จสิ้น รัฐบาลใหม่ก็ยังไม่เกิด การเลื่อนการประชุมรัฐสภาออกไปจากวันที่ 27 กรกฎาคม ก็เพื่อรอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาว่าจะรับหรือไม่รับเรื่องที่ผู้ตรวจการแผ่นดินยื่นร้องไปให้วินิจฉัยปมข้อบังคับการประชุมรัฐสภาข้อ 41 ใหญ่กว่ารัฐธรรมนูญ และมีแนวโน้มว่าไม่ว่าจะรับหรือไม่ การโหวตนายกฯ น่าจะเกิดขึ้นในวันที่ 10 สิงหาคม วันเดียวกับที่ทักษิณประกาศจะกลับบ้านเกิด มันจะเป็นไปได้อย่างนั้นหรือ

หากเป็นเช่นนั้น เท่ากับว่าการจัดตั้งรัฐบาลที่ยังคาราคาซังกันอยู่เวลานี้ คงจะออกมาในรูปแบบที่มี 8 พรรคร่วมเป็นแกนหลัก แล้วดึงบางพรรคการเมืองเข้าร่วม โดยที่ก้าวไกลยอมถอยประเด็นสำคัญคือการแก้ไขมาตรา 112 ตามกระแสข่าวที่ปรากฏมาว่ามีแกนนำของพรรคบินไปพบนายใหญ่ที่ฮ่องกงเพื่อยื่นข้อเสนอนี้ ขณะเดียวกัน ก็มีข่าวพรรคที่จะดึงเข้าร่วมก็ยินดีที่จะให้ลุงไม่ยอมรับตำแหน่งใด ๆ ในรัฐบาล จะถอยไปทำหน้าที่ผู้บัญชาการพรรคเหมือนที่เพื่อไทยมี

กรณีนี้ถือว่าเป็นเกมวิน-วิน เพราะเพื่อไทยก็ไม่ถูกตราหน้าว่าทรยศหักหลังเพื่อน ก้าวไกลก็ไม่เสียสัจจะที่ว่ามีเราไม่มีลุง ส่วนลุงที่ถอยออกไปก็จะได้ให้พรรคของตัวเองเดินหน้าผลักดันกฎหมายที่จะก้าวข้ามความขัดแย้ง สร้างความสามัคคีภายในประเทศ ซึ่งในระยะต่อไปผู้ที่จะได้รับอานิสงส์จะรวมไปถึงคนที่กำลังจะกลับประเทศด้วย ทั้งนี้ เงื่อนไขดังกล่าวผ่านความเห็นชอบจากกลุ่มอีลิทที่มีอิทธิพลเหนือฝ่ายการเมืองแล้ว เนื่องจากเห็นว่าหากปล่อยให้อยู่ในสถานการณ์เช่นนี้บ้านเมืองมีแต่ย่อยยับ

ตัวชี้วัดที่ทำให้ต้องเดินไปตามสูตรการเมืองนี้ก็คือ หากไม่มีฝ่ายใดยอมถอย รัฐบาลใหม่จะเกิดขึ้นไม่ได้อย่างแน่นอน ถ้า 8 พรรคร่วมพร้อมที่จะปล่อยให้เวลาผ่านไปจนถึงวันที่ 11 พฤษภาคมปีหน้า ปล่อยให้พวกลากตั้งหมดอำนาจร่วมโหวตนายกฯ แล้วค่อยมาว่ากัน ภาระหนักในการบริหารประเทศก็เป็นเรื่องของขบวนการสืบทอดอำนาจที่รักษาการอยู่เวลานี้ ครั้นจะรวมหัวกันตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อยก็ไปไม่รอดตั้งแต่คิดแล้ว จึงต้องหาทางลงเพื่อไม่ให้เจ็บตัวกันทุกฝ่าย

ในซีกของกุนซือที่วางแผนให้ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจอยู่ยาว กำหนดกลไกต่าง ๆ เพื่อการสืบทอดอำนาจก็ได้ยอมรับสภาพความผิดพลาดของการวางหมากกลต่าง ๆ ไว้แล้วว่า เป็นกับดักของประเทศ ไม่สามารถที่จะสกัดกั้น กีดกันนักการเมืองและพรรคการเมืองที่พรรคพวกตัวเองไม่ชอบได้ โดยเฉพาะรัฐธรรมนูญฉบับสืบทอดอำนาจ จะเห็นได้ว่ามีปัญหาในหลายประเด็น ดังนั้น การปล่อยให้มีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งอย่างแท้จริง และให้ฝ่ายนิติบัญญัติกับฝ่ายบริหารชุดใหม่ไปหารือกันเรื่องแก้ไขรัฐธรรมนูญ จึงเป็นทางรอดของประเทศ

การแก่งแย่งอำนาจ เอาชนะคะคานทางการเมืองไม่ได้เกิดประโยชน์กับฝ่ายไหนทั้งสิ้น เพื่อไทยพลิกขั้วก็เจอทางตัน พรรคเสียงข้างน้อยจะตั้งรัฐบาลแข่งก็เท่ากับรอวันเลือกตั้งใหม่ ซึ่งรู้กันอยู่ว่าภายใต้สถานการณ์เช่นนี้บทสรุปของเสียงประชาชนจะออกมาอย่างไร ขณะที่ภาคประชาชนที่เป็นกลุ่มเคลื่อนไหวทางการเมืองมองเห็นเค้าลางแล้วว่า มวลมหาประชาชนจะมากขนาดไหน สิ่งที่ฝ่ายกุมอำนาจปัจจุบันกลัวก็คือม็อบธรรมชาติ ที่เกิดจากความโกรธแค้น ผิดหวังจากเสียงของประชาชนที่ถูกย่ำยี

ส่วนการมองว่าเมื่อสถานการณ์มันเลวร้ายขนาดนั้น ท้ายที่สุดก็ต้องใช้อำนาจของกองทัพมาจัดระเบียบอีกกระทอก มันไม่ง่ายอีกต่อไป การรัฐประหารหนล่าสุดได้ทำให้เห็นแล้วว่า อนาคตของประเทศมืดมน ปัจจัยตัดสินสำคัญไม่ได้อยู่ที่ผู้นำกองทัพ แต่ขึ้นกับกลุ่มอีลิทที่ไม่เอาด้วย การล้มรัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ผ่านมา หวังว่าจะช่วยทำให้เกิดการปฏิรูป แล้วทำให้ทุกฝ่ายได้รับประโยชน์อย่างทั่วถึง แต่กลับเป็นเพียงคนแค่หยิบมือที่สวาปามกันเต็มคราบ จึงเกิดความพยายามที่จะไม่ให้การจัดตั้งรัฐบาลของฝ่ายที่ชนะเลือกตั้งเกิดขึ้นในเวลานี้

ท้ายที่สุด ก็ไม่สามารถที่จะปลุกกระแสหรือหาแนวร่วมได้ เพราะกลุ่มอีลิทที่มีอำนาจชี้ขาดอนาคตประเทศ และภาคเอกชนส่วนใหญ่ไม่มีใครสนับสนุน กลุ่มทุนที่ลงขันกันเพื่อล้ม พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ และกีดกันก้าวไกลพ้นวงโคจรการเป็นพรรครัฐบาล จึงถูกมองด้วยสายตาที่รังเกียจจากผู้ประกอบการที่ดำเนินธุรกิจอย่างโปร่งใส ตรงไปตรงมา นอกจากนั้น พวกที่เคยเอื้อประโยชน์ให้แก่กันก็เริ่มจะเห็นความเดือดร้อนที่จะมาเยือนจากชะตากรรมของ สว.ที่ถูกไล่ล่าแบบแม่มด จึงพากันถอดใจไม่เอาด้วยกับเกมโสมมดังกล่าว ขอหาทางลงกลับไปใช้ชีวิตอย่างสงบเงียบดีกว่า

สำหรับใครที่สงสัยต่อท่าทีของ นายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว และความเคลื่อนไหวของเพื่อไทยช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาในการเจรจากับพรรคขั้วอำนาจเดิม จนมองไปถึงการพลิกขั้วผลักก้าวไกลไปเป็นฝ่ายค้านนั้น คงต้องคิดกันอีกมุม คนระดับหมอที่เก๋าทางการเมืองและเก่งจนเป็นที่ไว้วางใจของผู้บัญชาการพรรคจะออกลูกเพี้ยนอะไรได้ขนาดนั้น จุดวัดใจสำคัญมันอยู่ที่การตีบทสะท้อนปัญหาเพื่อให้คู่กรณีสองฝ่ายเห็นภาพและยอมถอยกันคนละก้าว

บางทีการโหวตนายกฯ ที่จะมีขึ้น เสียงของ สว.ที่หวังจะใช้คอนเนคชั่นของบางพรรคการเมืองที่ดึงมาร่วม อาจไม่จำเป็นเสียด้วยซ้ำ หากพรรคที่ทำท่าตั้งการ์ดสูงมีก้าวไกลยังไงก็ไม่ร่วมวงไพบูลย์ด้วย เกิดเปลี่ยนใจซึ่งความจริงพูดอย่างนั้นไม่ถูก เพราะการเมืองของพวกเซียนเหยียบเมฆอย่ายึดถือคำพูดปากเปล่าของนักการเมืองและพรรคการเมืองเป็นอันขาด ถ้าผลประโยชน์ลงตัวคนเหล่านั้นก็พร้อมที่จะจับมือกับทุกคนทุกพรรค ทุกกรณี นี่คือความเป็นจริง

Back to top button