CGSI คาดกรอบ SET สัปดาห์นี้ 1,150–1,235 จุด ชู 2 หุ้นเด่น GULF-ERW

บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) จำกัด หรือ CGSI ประเมินว่า ดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET Index) ในสัปดาห์นี้จะเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ 1,150–1,235 จุด โดยได้รับแรงสนับสนุนบางส่วนจากบรรยากาศการลงทุนในต่างประเทศที่ปรับตัวดีขึ้นตามดัชนีหุ้นสำคัญของยุโรป ได้แก่ FTSE100 ที่เพิ่มขึ้น 0.6% และ STOXX600 ที่เพิ่มขึ้น 0.4% จากความคาดหวังเชิงบวกเกี่ยวกับการเจรจาการค้า

อย่างไรก็ดี CGSI อัพไซด์ของตลาดหุ้นไทยยังคงจำกัด เนื่องจากความไม่แน่นอนด้านการเมืองภายในประเทศที่กลับมากดดันบรรยากาศการลงทุน ขณะเดียวกัน นักลงทุนควรติดตามความคืบหน้าเกี่ยวกับนโยบายการค้าของสหรัฐฯ หลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เตรียมส่งจดหมายแจ้งการเปลี่ยนแปลงภาษีศุลกากรโดยตรง แทนการเจรจากับบางประเทศ ซึ่งกระบวนการอาจใช้เวลาราว 2–3 สัปดาห์

ด้านมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ รัฐบาลเตรียมเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาขยายคุณสมบัติและระยะเวลาของโครงการ “คุณสู้ เราช่วย” ภายในเดือนมิถุนายน 2568 ซึ่งมองว่าปัจจัยเสี่ยงจากประเด็นดังกล่าวได้ถูกสะท้อนในประมาณการกำไรกลุ่มธนาคารปี 2568-70 แล้ว นอกจากนี้ ยังมีแผนดำเนินโครงการ “เที่ยวไทยคนละครึ่ง 2025” ซึ่งรัฐจะร่วมจ่ายค่าใช้จ่าย 50% โดยเริ่มในเดือนมิถุนายนนี้ ซึ่งจะเป็นปัจจัยบวกเล็กน้อยต่อกลุ่มโรงแรม เช่น CENTEL และ ERW

โดยสัปดาห์นี้ควรติดตามตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญ ได้แก่ ตัวเลขส่งออกไทยประจำเดือนเมษายน และ GDP ไตรมาส 1/2568 ของไทยที่จะประกาศในวันที่ 19 พฤษภาคม เวลา 9.30 น. โดย CGSI คาดว่า GDP จะเติบโตที่ระดับ 2.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่คาดการณ์ทั้งปี 2568 อยู่ที่ 1.75% สะท้อนผลกระทบจากมาตรการภาษีศุลกากรตอบโต้ เหตุแผ่นดินไหว และประสิทธิผลที่จำกัดของนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ เช่น Digital Wallet และ Easy E-receipt

ด้านต่างประเทศ นักลงทุนควรติดตามข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญ ได้แก่ ตัวเลขเงินเฟ้อเดือนเมษายนของยูโรโซน (19 พ.ค.) และสหราชอาณาจักร (21 พ.ค.) รวมถึงดัชนี PMI ภาคการผลิตและบริการของสหรัฐฯ เดือนพฤษภาคม และยอดขายบ้านมือสองและบ้านใหม่ในวันที่ 22–23 พฤษภาคม ทั้งนี้ ยังต้องจับตาความคืบหน้าเกี่ยวกับนโยบายภาษีของสหรัฐฯ หลังร่างกฎหมายภาษีของทรัมป์ยังไม่สามารถผ่านขั้นตอนสำคัญในสภาคองเกรสได้

สำหรับกลยุทธ์การลงทุน CGSI แนะนำหุ้นเด่น ได้แก่

GULF คาดว่ากำไรสุทธิปี 2568-70 จะได้รับแรงหนุนจากการถือหุ้นใน ADVANC และพอร์ตธุรกิจสาธารณูปโภคที่กระจายความเสี่ยง ขณะที่การอนุมัติขยายวงเงินหุ้นกู้จะช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นในการรีไฟแนนซ์หนี้และลงทุนในโครงการใหม่ (ระดับ Take Profit ที่ 49.75 บาท และ Stop Loss ที่ 47.75 บาท)

ERW ได้อานิสงส์จากโครงการเที่ยวไทยคนละครึ่ง 2568 และแนวโน้มเติบโตในระยะ 3–5 ปี จากแผนขยายธุรกิจโรงแรมในต่างประเทศ เช่น ญี่ปุ่น และฟิลิปปินส์ (ระดับ Take Profit ที่ 2.16 บาท และ Stop Loss ที่ 2.00 บาท)