“ดาวโจนส์” ปิดบวกเล็กน้อย 137 จุด ตลาดระวังหลัง “มูดี้ส์” ลดเครดิตรัฐบาลวอชิงตัน

ตลาดหุ้นวอลสตรีทปิดบวกเล็กน้อย ท่ามกลางความระมัดระวังของนักลงทุน หลังจาก Moody’s ปรับลดอันดับเครดิตของรัฐบาลสหรัฐ ชี้ถึงความเสี่ยงจากหนี้สาธารณะที่พุ่งสูง และการขาดดุลการคลังที่ต่อเนื่อง


ตลาดหุ้นสหรัฐในวันจันทร์ (19 พ.ค.68) ปิดในแดนบวกแบบไม่ไว้วางใจ นักลงทุนระมัดระวังหลัง “มูดี้ส์ อินเวสเตอร์เซอร์วิส” (Moody’s Investors Service) ปรับลดอันดับเครดิตรัฐบาลสหรัฐฯ จากระดับ “Aaa” เหลือ “Aa1” โดยระบุถึงความเสี่ยงด้านการคลังจากภาระหนี้ที่ขยายตัวต่อเนื่อง

  • ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (.DJI) ปิดที่ 42,792.07 จุด เพิ่มขึ้น 137.33 จุด หรือ +0.32%
  • ดัชนี S&P 500 (.SPX) ปิดที่ 5,963.60 จุด เพิ่มขึ้น 5.22 จุด หรือ +0.088%
  • ดัชนี Nasdaq Composite (.IXIC) ปิดที่ 19,215.46 จุด เพิ่มขึ้น 4.63 จุด หรือ +0.023%

แม้ตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นแต่บรรยากาศยังคงเคร่งเครียด หลังมูดี้ส์กลายเป็นบริษัทจัดอันดับเครดิตแห่งที่ 3 ที่ส่งสัญญาณถึงปัญหาเชิงโครงสร้างด้านการคลังของสหรัฐ โดยเฉพาะหนี้ที่แตะระดับกว่า 36 ล้านล้านดอลลาร์ และการเมืองที่ยังไร้แนวโน้มเห็นพ้องเรื่องการควบคุมงบประมาณ

Greg Wilensky หัวหน้าฝ่ายตราสารหนี้สหรัฐ จาก Janus Henderson Investors กล่าวว่า “แม้การปรับลดอันดับเครดิตจะเป็นสัญญาณเตือนที่สำคัญ แต่ตลาดได้สะท้อนความเสี่ยงนี้ไปบ้างแล้ว และยังคงมีความเชื่อมั่นในความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจสหรัฐ”

ด้านนักวิเคราะห์จาก Wells Fargo Investment Institute ชี้ว่า การเคลื่อนไหวของมูดี้ส์สะท้อนความกังวลระยะยาวของตลาด และอาจส่งผลต่อความเชื่อมั่นในพันธบัตรรัฐบาล รวมถึงต้นทุนการกู้ยืมในอนาคต

ขณะที่นักวิเคราะห์จาก Oppenheimer มองว่า การปรับลดอันดับเครดิตอาจกระตุ้นให้นักลงทุนพิจารณาหุ้นที่มีพื้นฐานแข็งแกร่งและราคาน่าสนใจในช่วงที่ตลาดมีความผันผวน

สำหรับตลาดตราสารหนี้ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ อายุ 30 ปี แตะระดับ 5.037% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 18 เดือน ก่อนจะปรับลงมาปิดที่ 4.934%, อัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปี ปิดที่ 4.469% เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากวันก่อนหน้า ส่วนค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับตะกร้าสกุลเงินหลัก สะท้อนความกังวลที่กดดันเงินดอลลาร์ในระยะสั้น

นักลงทุนยังจับตาความคืบหน้าของนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ และร่างกฎหมายลดภาษีชุดใหม่ของรัฐบาลภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งนักวิเคราะห์บางรายมองว่า อาจเป็นอีกหนึ่งตัวเร่งภาระหนี้ในระยะยาว หากไม่ได้ควบคุมรายจ่ายควบคู่กันไป

Back to top button