
พาราสาวะถี
ทำเอา “วัยรุ่นเซ็ง” กันไปทั่วประเทศ หลังรัฐบาล แพทองธาร ชินวัตร ประกาศเลื่อนการแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ตหมื่นบาทเฟส 3 ออกไปอย่างไม่มีกำหนด
ทำเอา “วัยรุ่นเซ็ง” กันไปทั่วประเทศ หลังรัฐบาล แพทองธาร ชินวัตร ประกาศเลื่อนการแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ตหมื่นบาทเฟส 3 ออกไปอย่างไม่มีกำหนด ถ้ายึดเอาประสาของคนรุ่นใหม่ การบอกว่าเลื่อนไม่มีกำหนดเท่ากับยกเลิกดี ๆ นี่เอง แม้จะมีการบอกว่าไม่ได้เลิก แต่รอจังหวะเวลาที่เหมาะสมเท่านั้น สั้น ๆ ง่าย ๆ ไม่มีเงินที่จะเดินหน้าต่อนโยบายที่เคยป่าวประกาศว่าเป็นเรือธง และจะต้องทำให้ได้ ทำให้สำเร็จ เสียงต้าน กระแสคัดค้านแค่ข้ออ้าง เรื่องเงินในกระเป๋านี่ของจริงแต่พูดตรง ๆ ไม่ได้
พิจารณาจากฝ่ายตรวจสอบอย่างพรรคประชาชน ย่อมจี้ไปที่ประเด็นรัฐบาลใกล้ถังแตก แบกภาระบักโกรกมาจากการแจกเงินหมื่นสองรอบแรก แล้วผลที่ได้ไม่คุ้มค่ากับการลงทุน จึงทำให้ต้องเลื่อนการแจกเฟส 3 ไปก่อน แล้วแปรสภาพงบประมาณ 1.57 แสนล้านบาท ที่เตรียมจะลุยแจกตามนโยบายที่เคยได้หาเสียงไว้ ไปทุ่มกับการลงทุนจากภาครัฐ ไม่ว่าจะเรื่องโครงสร้างพื้นฐาน ทั้งด้านน้ำ ด้านคมนาคม ครอบคลุมไปถึงเรื่องการท่องเที่ยว ภาคการเกษตร และที่ขาดไม่ได้คือกองทุนหมู่บ้านผ่านโครงการเอสเอ็มแอล
จุดสำคัญที่ทำให้รัฐบาลสามารถเบี่ยงกระแสความไม่พอใจในการบิดงบที่เตรียมแจกรอบนี้ไปเป็นการลงทุนภาครัฐ คงเป็นเรื่องการต่อสู้กับนโยบายการขึ้นภาษีของโดนัลด์ ทรัมป์ ยอมเสียหน้าแบบนี้เลยเข้าทางพรรคประชาชนที่ ศิริกัญญา ตันสกุล รองหัวหน้าพรรคในฐานะมือทำงานด้านเศรษฐกิจของฝ่ายค้าน ตั้งข้อสังเกตมาตลอด พอรัฐบาลประกาศเลื่อนแจกเงินหมื่นเฟส 3 พรรคสีส้มก็ประกาศสนับสนุนทันที พร้อมเกทับด้วยว่าจะช่วยหางบประมาณเพิ่มเติมให้
ผ่านกระบวนการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 ที่กำลังจะมีการเปิดประชุมสภาสมัยวิสามัญเพื่อถกเรื่องนี้ระหว่างวันที่ 28-31 พฤษภาคมนี้ โดยศิริกัญญากระทุ้งว่า ขอแค่รัฐบาลให้คำมั่นจะใช้งบประมาณที่มีอยู่มาพยุงสภาพเศรษฐกิจ ลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ปรับโครงสร้างระยะยาว รวมถึงเตรียมเงินชดเชยเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากภาษีทรัมป์อย่างไรบ้าง พรรคประชาชนจะทำเต็มที่เพื่อให้ทุกบาทของภาษีประชาชนถูกใช้เพื่อประคับประคองประชาชนในห้วงยามวิกฤต
มีการฉายหนังตัวอย่างไปก่อนหน้านี้ ชี้ช่องช่วยหาเงินจากงบประมาณของปี 2568 ที่ศิริกัญญามองว่างบกลางเงินสำรองฉุกเฉินที่สภาอนุมัติไป 96,000 กว่าล้านบาท เพิ่งใช้ไปประมาณ 30,000 ล้านบาท จากที่ค้นเจอจากมติครม. ยังเหลือวงเงินอีก 66,000 ล้านบาทเศษ งบปี 2568 ใช้มาจนเหลือ 4 เดือนแล้ว งบกลางใช้ไปได้แค่ 1 ใน 3 ถ้านำมารวมกัน รัฐบาลจะได้วงเงินเพิ่มเป็น 223,000 ล้านบาท ในการกระตุ้นโค้งสุดท้ายในอีก 4 เดือนที่เหลือ ส่วนงบปี 2569 รอในวันอภิปรายฝ่ายค้านจะช่วยชี้แนะให้
เมื่อเลือกที่จะหันหัวเรือไปแบบนี้ นอกเหนือจากที่ฟัง จิรายุ ห่วงทรัพย์ แถลงหลังประชุมครม.เมื่อวันอังคาร ว่างบ 1.57 แสนล้านบาท จะใช้ไปทำอะไรบ้างในกรอบกว้าง ๆ ต้องมีคณะทำงาน หรือ พิชัย ชุณหวชิร รองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง หรือจะมอบหมายให้สองรัฐมนตรีช่วยคลัง หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องลงลึกไปในรายละเอียดให้กระจ่าง เพราะโครงการที่จะดำเนินการทั้งหมด ถูกขีดเส้นให้นำเสนอกันภายในสิ้นเดือนนี้ ย่อมทำให้ประชาชนหายข้องใจได้
เท่าที่ฟังขุนคลังชี้แจงเบื้องต้น ก็ยังออกลูกตีกรรเชียงโดยอ้างการตัดสินใจครั้งนี้ว่า “ไม่เรียกว่าซื้อเวลา ถ้าสถานการณ์ดี ก็หยิบขึ้นมาพิจารณาใหม่ได้ เพราะเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจโดยตรง” แต่วันนี้อยากให้เกิดการจ้างงานมากกว่า เพราะสถานการณ์เศรษฐกิจโดยรวมย่ำแย่ ไม่ใช่เฉพาะประเทศไทยแต่เป็นไปทั่วโลก ซึ่งแพทองธารเองก็ยอมรับว่า ด้วยสถานการณ์เศรษฐกิจโลกในปัจจุบันมีภาวะผันผวน ต่อไปนี้รัฐบาลจะต้องให้ความสำคัญกับการสร้างการเติบโตของเศรษฐกิจในระยะยาวให้มากขึ้น
ไม่เพียงเท่านั้น ยังจะต้องเน้นสร้างความเข้มแข็งให้เศรษฐกิจฐานราก โดยเฉพาะผู้ประกอบการเอสเอ็มอี รวมทั้งเกษตรกรและประชาชนในระดับหมู่บ้าน ชุมชนที่ได้รับผลกระทบ คำพูดที่สวยหรูของนายกฯ หญิงก็คือ รัฐบาลได้ร่วมกันคิดและเสนอแผนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้สอดคล้องกับสถานการณ์เศรษฐกิจในปัจจุบัน อย่างไรก็ตามผลพวงของการเลื่อนนโยบายสำคัญของรัฐบาลไปเช่นนี้ โดยแนวโน้มชัดเจนว่าน่าจะยกเลิก ย่อมถูกมองว่าเป็นการกระทำที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ เข้าทางตีนบรรดานักร้องทั้งหลาย
ทันควัน วันรุ่งขึ้น สนธิญา สวัสดี ไปยื่นหนังสือต่อกกต.ขอให้วินิจฉัยการที่รัฐบาลประกาศเลื่อนแจกเงินดิจิทัล 1 หมื่นบาท ที่เป็นนโยบายของพรรคเพื่อไทย ขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 258 หรือไม่ คงไม่ใช่เรื่องเหลือบ่ากว่าแรงที่พรรคแกนนำรัฐบาลจะหาทางแก้ตัวได้ แต่ต้องอย่าลืมว่า กรณีแจกเงินหมื่น พรรคดันไปป่าวประกาศตอนหาเสียงเลือกตั้งจะทำนโยบายนี้หากเป็นรัฐบาลภายใน 90 วัน ซึ่งนับแต่กุมอำนาจบริหารก็ยักแย่ยักยัน แปรสภาพนโยบายจากหมื่นบาทหนเดียวเพื่อสร้างพายุหมุนทางเศรษฐกิจ เป็นแบ่งทีละเฟส กระทั่งทำท่าว่าจะไม่ไปต่อในที่สุด บางฝ่ายบอกว่าประเด็นนี้อาจทำให้นายใหญ่สะดุดขาตัวเองล้มไม่เป็นท่า
สำหรับปัญหาความไม่ลงรอยกันของสองพรรครัฐบาลผสมคือเพื่อไทยกับภูมิใจไทย โดยมีปมฮั้วเลือกสว.มาเป็นตัวกระตุ้นนั้น จับอาการของ อนุทิน ชาญวีรกูล ที่หยอกล้อกับแพทองธาร และคำชมในการทำงานในฐานะรองนายกฯ และรัฐมนตรีมหาดไทยจากปากของ ทักษิณ ชินวัตร ทำให้เห็นทิศทางของรัฐบาลว่ายังไปต่อได้ เรื่องที่ถูกมองว่าเป็นเกมการเมือง เหมือนที่เสี่ยหนูเชื่อว่าคดีฮั้วสว.เป็นการเมืองล้านเปอร์เซ็นต์นั้น ก็ต้องปล่อยให้ฝ่ายการเมืองที่ไม่เกี่ยวกับอำนาจบริหารไปว่ากันเอง
ล่าสุด ศุภชัย ใจสมุทร ทีมกฎหมายของพรรคสีน้ำเงิน ได้ประกาศจะยื่นฟ้อง ณฐพร โตประยูร ที่ไปยื่นร้องศาลรัฐธรรมนูญปมฮั้วสว.แล้วพาดพิงภูมิใจไทยทำให้เสียหาย รวมทั้ง กุสุมาลวตี ศิริโกมุท อดีตผู้สมัครสว. และอดีตสส.พรรคเพื่อไทย ที่ไปร้องกกต.ให้ยุบพรรคภูมิใจไทยจากประเด็นเดียวกัน เป็นแนวทางที่เสี่ยหนูบอกไว้แล้วว่าใครทำผิดในกฎหมายเรื่องใด หมิ่นประมาท แจ้งความเท็จ หรือละเมิด ก็ว่ากันไปตามนั้น ออกลูกแบบนี้เท่ากับการันตีได้ว่า ระดับนำของสองฝ่ายแยกได้ระหว่างเรื่องของพรรคกับเรื่องของรัฐบาล
อรชุน