
ดักเก็บ 8 หุ้นรับ “โควิด” ระบาดรอบใหม่ เน้นกลุ่ม “รพ.-ถุงมือยาง”
“บล.กรุงศรี” มองเป็น “จิตวิทยาบวก” ต่อหุ้นกลุ่มโรงพยาบาล BCH-CHG-PR9 กลุ่มถุงมือยางและยา STGT-MEGA กลุ่มสินค้าไอที COM7-JMART-SYNEX หลังโควิด-19 เริ่มระบาดระลอกใหม่
ผู้สื่อข่าวรายงานจากข้อมูล ศูนย์ข้อมูล COVID-19 เผยแพร่ข้อมูล กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เผยสถานการณ์โควิด 19 ในประเทศไทยนับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 24 พฤษภาคม 2568 มีผู้ป่วยสะสม 204,965 ราย ผู้เสียชีวิตสะสม 51 ราย
ขณะที่ข้อมูลรอบสัปดาห์นับตั้งแต่วันที่ 18 – 24 พฤษภาคม 2568 ผู้ป่วยรายใหม่ 65,007 ราย และผู้เสียชีวิตรายใหม่ 8 ราย โดยจังหวัดที่มีผู้ป่วยมากที่สุด คือ กรุงเทพมหานคร 12,184 ราย รองลงมา คือ ชลบุรี 4,018 ราย นนทบุรี 2,891 ราย สมุทรปราการ 2,837 ราย และระยอง 2,355 ราย
โดย ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ ราชบัณฑิต สำนักวิทยาศาสตร์ ศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ Facebook ระบุว่า โควิด 19 ได้เปลี่ยนเป็นโรคประจำฤดูกาลแล้ว ทำให้ความรุนแรงของโรคลดน้อยลงอย่างมาก ดังจะเห็นยอดการเสียชีวิต ปีนี้ลดน้อยลงกว่าปีที่แล้วมาก ปีที่แล้วเสียชีวิต 220 คน
ปีนี้น่าจะต่ำกว่าร้อยคนถึงแม้ว่าจะมีผู้ป่วยเป็นจำนวนมากกว่าปีที่แล้ว ผู้ป่วยส่วนใหญ่จึงรักษาตัวเองอยู่ที่บ้าน หรือบางคนไม่ได้ตรวจ การแพร่กระจายของโรคติดต่อได้ง่ายขึ้น การเฝ้าระวังป้องกันตนเองลดน้อยลง จึงทำให้มีการแพร่กระจายอย่างมากและรวดเร็ว
“หลังจากนี้เมื่อเปิดเรียนแล้ว 2-3 อาทิตย์สิ่งที่ตามมาก็คือไข้หวัดใหญ่ จะระบาดตามมาพร้อมกับ ไข้หวัดธรรมดาหรือที่เรียกว่า rhinovirus ตามมาซ้ำเติมอีก จนกระทั่งถึงเดือนกรกฎาคม RSV จะมาหลังสุด โดย RSV จะมีช่วงระบาดเพียง 5 เดือนเท่านั้นตั้งแต่เดือนกรกฎาคมถึงเดือนพฤศจิกายนก็จะครบวงรอบ” ศ.นพ.ยง กล่าว
จากข้อมูลดังกล่าว สอดคล้องกับบทวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) ระบุว่า ศูนย์ข้อมูลโควิด-19 กรมควบคุมโรค ก.สาธารณสุข รายงานจำนวนผู้ป่วยโควิด-19 รอบสัปดาห์ 18-24 พฤษภาคม 2568 สัปดาห์เดียวพบผู้ป่วยโควิด -19 เร่งขึ้น 65,007 ราย เสียชีวิต 8 ราย
ส่งผลให้ยอดสะสมนับตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน YTD (1 มกราคม – 24 พฤษภาคม 2568) เพิ่มขึ้นสู่ระดับ 204,965 ราย และมีผู้เสียชีวิตสะสม51 ราย **แม้อัตราการเสียชีวิตจะยังอยู่ในระดับต่ำ 0.2%
แต่การพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วของจำนวนผู้ติดโควิด-19 จะกดดันให้ประชาชนระมัดระวังการใช้ชีวิต ลดการทำกิจกรรมนอกบ้านในพื้นที่ที่มีผู้คนจำนวนมาก เพื่อลดความเสี่ยงจากการติดเชื้อเป็น “จิตวิทยาลบ” ต่อภาพเศรษฐกิจและการลงทุนใน กลุ่มท่องเที่ยว อาทิ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT, บริษัท ดิ เอราวัณ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ ERW และ บริษัท โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา จำกัด (มหาชน) หรือ CENTEL
กลุ่มห้างสรรพสินค้าและร้านอาหาร อาทิ บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ CRC, บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BJC และ บริษัท ซีพี แอ็กซ์ตร้า จำกัด (มหาชน) หรือ CPAXT
ระบบขนส่งมวลชน อาทิ บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM, บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ BTS
อย่างไรก็ตาม ปัจจัยนี้จะเป็น “บวก” ผู้ประกอบการ “โรงพยาบาล” โดยเฉพาะผู้ประกอบการที่มีสัดส่วนรายได้จากในประเทศเป็นสัดส่วนหลัก อาทิ บริษัท บางกอก เชน ฮอสปิทอล จำกัด (มหาชน) หรือ BCH, บริษัท โรงพยาบาลจุฬารัตน์ จำกัด (มหาชน) หรือ CHG และ บริษัท โรงพยาบาลพระรามเก้า จำกัด (มหาชน) หรือ PR9,
กลุ่มถุงมือยาง คือ บริษัท ศรีตรังโกลฟส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ STGT, กลุ่มผลิตภัณฑ์ยา คือ บริษัท เมก้า ไลฟ์ไซแอ็นซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ MEGA
ขณะที่ หากการระบาดรุนแรง (Work from Home) จะสนับสนุนดีมานด์ กลุ่มสินค้า IT อาทิ บริษัท คอมเซเว่น จำกัด(มหาชน) หรือ COM7, บริษัท เจมาร์ท กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ JMART และ บริษัท ซินเน็ค (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ SYNEX ( หมายเหตุ : กรมควบคุมโรคเปลี่ยน วิธีรายงานเป็นรายสัปดาห์นับตั้งแต่เดือน ตุลาคม 2568 เป็นต้นมา)